[INV030] ข้อคิดจากการลงทุนของผม ประจำปี 2019 (2562)
สวัสดีปีใหม่ครับ เพื่อนๆนักลงทุนทุกท่าน
พบกันเช่นเคยทุกๆต้นปี กับการสรุปผลงานและข้อคิดจากประสบการณ์การลงทุนของผมเองในแต่ละปี
สำหรับปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าผมเริ่มลดการโฟกัสหุ้นรายตัวไปพอสมควร และค่อนข้างละเลยการทำการบ้านเรื่องหุ้นไปจนเกือบหมดเลยครับ
อย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมากลับดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งทีแรกตั้งเป้าว่าแค่ชนะตลาดได้เล็กน้อยก็โอเคแล้ว
ผลตอบแทนตลาดโดยรวม SET TRI: +4.29%
ผลตอบแทนรวมที่ผมทำได้: +17.73%
ผลตอบแทน SET Index: +1.02%
ผลตอบแทน SET50 Index: +2.26%
ผลตอบแทนไม่รวมปันผลของผม: +16.42%
...
ตลาดหุ้นไทยกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกอีกครั้ง หลังจากติดลบไปมากในปีที่แล้ว
แต่หากพิจารณาที่ SET Index จะเห็นว่าบวกน้อยมาก หรือแม้แต่ SET TRI ก็บวกไม่มากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยในอดีต
ปีที่ผ่านมาจึงเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่า นี่อาจหมดยุคของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเสียแล้ว ทำให้ผมยิ่งต้องตระหนักถึงการกระจายพอร์ตการลงทุนให้มากขึ้น
และนี่คือ 3 ข้อคิดที่ผมสรุปได้จากปี 2019
...
1. คุณภาพยังคงสำคัญที่สุด - กลับมาที่หัวใจของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอีกครั้ง คุณภาพของกำไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งมันก็มาจากคุณภาพของธุรกิจนั่นเอง
บริษัทที่ผ่านการพิสูจน์ผลงานมาแล้วเป็นเวลานาน ก็ยังคงแข็งแกร่งและทำกำไรให้เติบโตได้อยู่เรื่อยๆ
นั่นหมายความว่า เราแทบจะไม่ต้องกังวลอะไรเลยเมื่อมีข่าวหรือผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่างๆ
สิ่งที่ยากคือ หุ้นคุณภาพดี ก็จะเทรดที่ราคาแพงมากอยู่เสมอ
สิ่งที่ต้องทำคือ รอจังหวะที่เหมาะสม วิเคราะห์ผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นว่ามากหรือน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับมูลค่าของมัน
มันจะมีโอกาสจากความกลัวที่มากเกินไปของมนุษย์อยู่เสมอ เราต้องหาให้เจอ ถ้าไม่เจอ ก็ไม่ต้องทำอะไร อดทน และรอหวดให้ถูกจังหวะ
บ่อยครั้งที่ผมโดนความโลภสั่งสอนจากหุ้นที่ราคาตกมาเยอะจนถูกมาก แต่คุณภาพไม่ดีจริง หรือพื้นฐานมันได้เปลี่ยนไปแล้ว
เรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันถูกมากเมื่อเทียบกับชื่อเสียงในอดีต และมันก็ถูกอยู่อย่างนั้น จนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับขึ้นมาได้
2. ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งจากการไม่ทำอะไร - อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้าว่า ปีที่ผ่านมาผมศึกษาและติดตามหุ้นรายตัวน้อยลงมากๆ นั่นทำให้ผมไม่คิดจะทำอะไร เพราะผมไม่มั่นใจและไม่มีเหตุผลมากเพียงพอที่จะทำการเคลื่อนไหวใดๆอย่างมีนัยยะสำคัญ
สิ่งที่ผมทำคือ ในช่วงที่หุ้นที่ไม่คิดจะเก็บไว้แล้ว มีราคาสูงขึ้นมาถึงจุดที่พอใจ ก็ทยอยขายออกไป
สำหรับหุ้นเดิมที่มั่นใจ ก็หาโอกาสเก็บเพิ่มเมื่อมันย่อลงมา
ผมคิดว่าผลงานที่น่าพอใจในปีที่ผ่านมานั้นเกิดจากดอกผลของการลงทุนระยะยาวจากในอดีตเสียมากกว่าสิ่งที่ผมลงมือทำในระหว่างปี นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนจึงเปรียบเทียบการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเหมือนการปลูกต้นไม้ คุณไม่ได้ปลูกมันเพื่อที่หวังจะกินผลหรือเก็บเกี่ยวมันวันพรุ่งนี้หรอก ทำให้มันยั่งยืน เพราะมันคือสิ่งที่จะเลี้ยงดูเราได้ในอนาคต
3. REIT ยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง - กอง REIT ที่ผมโชคดีได้ IPO มาเมื่อนานมาแล้ว ผมก็ยังคงปล่อยมันนอนอยู่ในพอร์ตโดยไม่เคยขายออกมา การเติบโตที่ถือว่าเกินความคาดหมายไปแล้วก็ยังโตได้อีก ผมเริ่มซื้อกอง REIT อื่นบ้างในระหว่างปี ซึ่งต้องยอมรับว่าราคาหลายตัวแพงแล้ว และในช่วง Q3 ก็เกิดเหตุการณ์ที่กอง REIT ถูกเทขายไปเยอะพอสมควรจึงทำให้ผลงานยังถือว่าทรงๆ
อย่างไรก็ตามในภาวะที่ดอกเบี้ยจะต่ำไปอีกนาน การหากอง REIT โดยเน้นแหล่งที่มาของรายได้ต้องมีความสม่ำเสมอ คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าการดูแค่อัตราเงินปันผลที่สูง
...
สำหรับปี 2020 นี้ ผมตั้งเป้าว่าจะลดสัดส่วนของหุ้นรายตัวในไทยให้เหลือเพียง 50-60% เท่านั้น
และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นมากขึ้น โดยเน้นการออมหุ้นในระยะยาวเพื่อเตรียมตัวเกษียณผ่านวิธี DCA ทุกเดือน เหตุผลหลักๆก็คือ ผมรู้ตัวว่าไม่ได้มีเวลาติดตามหุ้นรายตัวได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และการจะหาเจอหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสมตอนนี้ยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ
อีกเหตุผลคือการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศมากขึ้น เพราะประเทศไทยได้ติดกับดักของการไม่เติบโตอย่างแน่นอนแล้ว สำหรับเวียดนามก็ยังคงเป็นตลาดที่ผมต้องติดตามอยู่เรื่อยๆ เพราะการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และยังคงเชื่อว่าเมื่อถึงวันที่ตลาดหุ้นเวียดนามได้เข้าสู่ emerging market เมื่อไหร่ ทุกอย่างจะ take off อย่างที่คาดการณ์เอาไว้
สำหรับปีนี้ก็ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีสติเช่นเคย อย่าลืมคิดให้เยอะว่ากว่าเราจะทำงานหาเงินมาได้แต่ละบาทนั้นเหนื่อยแค่ไหน จะใช้จ่ายหรือลงทุนอะไรก็คิดให้รอบคอบ จะได้ไม่มานั่งเสียใจทีหลังนะครับ.
ampmie152
http://ampmie152.blogspot.com
พบกันเช่นเคยทุกๆต้นปี กับการสรุปผลงานและข้อคิดจากประสบการณ์การลงทุนของผมเองในแต่ละปี
สำหรับปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าผมเริ่มลดการโฟกัสหุ้นรายตัวไปพอสมควร และค่อนข้างละเลยการทำการบ้านเรื่องหุ้นไปจนเกือบหมดเลยครับ
อย่างไรก็ตาม ผลที่ออกมากลับดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งทีแรกตั้งเป้าว่าแค่ชนะตลาดได้เล็กน้อยก็โอเคแล้ว
 |
| Photo by Brienne Hong on Unsplash |
ผลตอบแทนตลาดโดยรวม SET TRI: +4.29%
ผลตอบแทนรวมที่ผมทำได้: +17.73%
ผลตอบแทน SET Index: +1.02%
ผลตอบแทน SET50 Index: +2.26%
ผลตอบแทนไม่รวมปันผลของผม: +16.42%
...
ตลาดหุ้นไทยกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกอีกครั้ง หลังจากติดลบไปมากในปีที่แล้ว
แต่หากพิจารณาที่ SET Index จะเห็นว่าบวกน้อยมาก หรือแม้แต่ SET TRI ก็บวกไม่มากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยในอดีต
ปีที่ผ่านมาจึงเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่า นี่อาจหมดยุคของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเสียแล้ว ทำให้ผมยิ่งต้องตระหนักถึงการกระจายพอร์ตการลงทุนให้มากขึ้น
และนี่คือ 3 ข้อคิดที่ผมสรุปได้จากปี 2019
...
1. คุณภาพยังคงสำคัญที่สุด - กลับมาที่หัวใจของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอีกครั้ง คุณภาพของกำไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งมันก็มาจากคุณภาพของธุรกิจนั่นเอง
บริษัทที่ผ่านการพิสูจน์ผลงานมาแล้วเป็นเวลานาน ก็ยังคงแข็งแกร่งและทำกำไรให้เติบโตได้อยู่เรื่อยๆ
นั่นหมายความว่า เราแทบจะไม่ต้องกังวลอะไรเลยเมื่อมีข่าวหรือผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่างๆ
สิ่งที่ยากคือ หุ้นคุณภาพดี ก็จะเทรดที่ราคาแพงมากอยู่เสมอ
สิ่งที่ต้องทำคือ รอจังหวะที่เหมาะสม วิเคราะห์ผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นว่ามากหรือน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับมูลค่าของมัน
มันจะมีโอกาสจากความกลัวที่มากเกินไปของมนุษย์อยู่เสมอ เราต้องหาให้เจอ ถ้าไม่เจอ ก็ไม่ต้องทำอะไร อดทน และรอหวดให้ถูกจังหวะ
บ่อยครั้งที่ผมโดนความโลภสั่งสอนจากหุ้นที่ราคาตกมาเยอะจนถูกมาก แต่คุณภาพไม่ดีจริง หรือพื้นฐานมันได้เปลี่ยนไปแล้ว
เรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันถูกมากเมื่อเทียบกับชื่อเสียงในอดีต และมันก็ถูกอยู่อย่างนั้น จนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับขึ้นมาได้
2. ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งจากการไม่ทำอะไร - อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้าว่า ปีที่ผ่านมาผมศึกษาและติดตามหุ้นรายตัวน้อยลงมากๆ นั่นทำให้ผมไม่คิดจะทำอะไร เพราะผมไม่มั่นใจและไม่มีเหตุผลมากเพียงพอที่จะทำการเคลื่อนไหวใดๆอย่างมีนัยยะสำคัญ
สิ่งที่ผมทำคือ ในช่วงที่หุ้นที่ไม่คิดจะเก็บไว้แล้ว มีราคาสูงขึ้นมาถึงจุดที่พอใจ ก็ทยอยขายออกไป
สำหรับหุ้นเดิมที่มั่นใจ ก็หาโอกาสเก็บเพิ่มเมื่อมันย่อลงมา
ผมคิดว่าผลงานที่น่าพอใจในปีที่ผ่านมานั้นเกิดจากดอกผลของการลงทุนระยะยาวจากในอดีตเสียมากกว่าสิ่งที่ผมลงมือทำในระหว่างปี นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนจึงเปรียบเทียบการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเหมือนการปลูกต้นไม้ คุณไม่ได้ปลูกมันเพื่อที่หวังจะกินผลหรือเก็บเกี่ยวมันวันพรุ่งนี้หรอก ทำให้มันยั่งยืน เพราะมันคือสิ่งที่จะเลี้ยงดูเราได้ในอนาคต
3. REIT ยังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง - กอง REIT ที่ผมโชคดีได้ IPO มาเมื่อนานมาแล้ว ผมก็ยังคงปล่อยมันนอนอยู่ในพอร์ตโดยไม่เคยขายออกมา การเติบโตที่ถือว่าเกินความคาดหมายไปแล้วก็ยังโตได้อีก ผมเริ่มซื้อกอง REIT อื่นบ้างในระหว่างปี ซึ่งต้องยอมรับว่าราคาหลายตัวแพงแล้ว และในช่วง Q3 ก็เกิดเหตุการณ์ที่กอง REIT ถูกเทขายไปเยอะพอสมควรจึงทำให้ผลงานยังถือว่าทรงๆ
อย่างไรก็ตามในภาวะที่ดอกเบี้ยจะต่ำไปอีกนาน การหากอง REIT โดยเน้นแหล่งที่มาของรายได้ต้องมีความสม่ำเสมอ คือสิ่งที่สำคัญมากกว่าการดูแค่อัตราเงินปันผลที่สูง
...
สำหรับปี 2020 นี้ ผมตั้งเป้าว่าจะลดสัดส่วนของหุ้นรายตัวในไทยให้เหลือเพียง 50-60% เท่านั้น
และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นมากขึ้น โดยเน้นการออมหุ้นในระยะยาวเพื่อเตรียมตัวเกษียณผ่านวิธี DCA ทุกเดือน เหตุผลหลักๆก็คือ ผมรู้ตัวว่าไม่ได้มีเวลาติดตามหุ้นรายตัวได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และการจะหาเจอหุ้นที่ดีในราคาที่เหมาะสมตอนนี้ยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ
อีกเหตุผลคือการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศมากขึ้น เพราะประเทศไทยได้ติดกับดักของการไม่เติบโตอย่างแน่นอนแล้ว สำหรับเวียดนามก็ยังคงเป็นตลาดที่ผมต้องติดตามอยู่เรื่อยๆ เพราะการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และยังคงเชื่อว่าเมื่อถึงวันที่ตลาดหุ้นเวียดนามได้เข้าสู่ emerging market เมื่อไหร่ ทุกอย่างจะ take off อย่างที่คาดการณ์เอาไว้
สำหรับปีนี้ก็ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีสติเช่นเคย อย่าลืมคิดให้เยอะว่ากว่าเราจะทำงานหาเงินมาได้แต่ละบาทนั้นเหนื่อยแค่ไหน จะใช้จ่ายหรือลงทุนอะไรก็คิดให้รอบคอบ จะได้ไม่มานั่งเสียใจทีหลังนะครับ.
ampmie152
http://ampmie152.blogspot.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น