Please support me!

หากชอบใจบทความของผม โปรดสนับสนุนค่ากาแฟเล็กๆน้อยๆเพื่อเป็นกำลังใจนะครับ

[TRA014] เที่ยวฮอกไกโดครั้งแรก รีวิวแบบลวกๆ ตอนที่ 1: New Chitose, Hakodate, Sapporo

ถึงผมจะไปเที่ยวญี่ปุ่นมาหลายรอบแล้ว แต่นี่ก็เพิ่งเป็นครั้งแรกที่ได้ไปฮอกไกโดครับ
และเนื่องจากเป็นการเที่ยวฮอกไกโดหน้าร้อน ทำให้ความพิเศษของทริปนี้คือการขับรถเที่ยวเมืองแห่งทุ่งดอกไม้อย่าง Biei และ Furano
ซึ่งก็เป็นครั้งแรกของผมเช่นกัน กับการขับรถในประเทศญี่ปุ่น

เนื่องจากผมดองต้นฉบับเรื่องเที่ยวญี่ปุ่นไว้เยอะมาก เพราะใช้เวลามากในการเขียนแต่ละตอน
คราวนี้เลยอยากลองเขียนรีวิว "ฉบับลวกๆ" เก็บเอาไว้ก่อน
เผื่อใครจะไปหรืออยากรู้ภาพรวมว่าเป็นยังไงบ้าง ก็เอาไปอ่านเล่นๆแก้ขัดก่อนได้ครับ



*คำเตือน: รีวิวต่อไปนี้เป็นความเห็นและความรู้สึกส่วนตัวของผม ไม่ได้มีเจตนาชี้นำใดๆ โปรดอย่าเชื่อเอาไปเป็นข้อมูลอ้างอิงใดๆเด็ดขาด อ่านเอาสนุกๆก็พอนะจ๊ะ*

...

วันที่ 1: 

chitose airport handwritten weather board
ป้ายบอกสภาพอากาศที่เคาน์เตอร์ tourist information ของสนามบิน
การวาดด้วยลายมือแบบนี้แสดงถึงความตั้งใจที่ดีและดูน่ารักมากๆ


สนามบิน New Chitose ไป Hakodate
- ถือเป็นหายนะตั้งแต่ยังไม่เริ่มทริป เพราะผมโดนการบิน ท. ยกเลิกไฟลท์ไปดื้อๆ แล้วย้ายไปให้บินวันถัดไปแทน นั่นหมายความว่าทริปผมโดนหั่นวันแรกไป 1 วัน

- ซึ่งความตั้งใจจริงคือ วันแรกนะ เดินทางมาเหนื่อยๆ ขอพักดีๆแช่ออนเซ็นสบายๆซะหน่อยเถอะ จองเรียวกังที่ Noboribetsu ไว้ สรุปคือต้องยกเลิกจ้าา ด้วยข้อจำกัดด้านเวลา ทำให้ต้องยิงยาวไป Hakodate แทน

- ไฟลท์ออกจาก BKK ราวๆเที่ยงคืน กะว่าหลับยาว 6 ชม. ที่ไหนได้ แถวหลังเด็ก 2 ข้างซ้ายอีก 2 ขวาอีก 1 และก็เป็นไปตามคาดครับ "กูไม่ได้นอนเลยจ้า" น้องๆผลัดกันประสานเสียงรู้ใจกันดียังกะวงออเครสตร้า

- ถึงสนามบิน CTS แบบโทรมๆ ต่อคิวตม.นานกว่าที่คิดไว้ น่าจะราวๆ 45 นาทีได้ กว่าจะรอกระเป๋า และผ่าน custom ก็ซัดไปชั่วโมงนิดๆ ใครมีโปรแกรมเที่ยววันแรกแน่นๆ ขอให้เผื่อเวลาไว้เลยครับ

- ถึงสนามบินก็ลงไปแลก JR Pass ข้างล่าง ที่แลกจะอยู่ตรงซ้ายมือหน้า ticket gate ของรถไฟเลย รอคิวนานกว่าที่คิดมาก กว่าจะแลก pass และรับตั๋ว reserved seat ที่จองล่วงหน้าไว้ หมดไปอีกเกือบชั่วโมง

- มีเรื่องให้ต้องลุ้นแต่วันแรกเลย เมื่อจะขอจองที่นั่งรถไฟไป Hakodate พนักงานบอกว่า "เต็มหมดแล้ว ยูต้องไปวัดดวงที่ non-reserved car เอานะจ๊ะ" ...ครับ เกือบ 4 ชม. พร้อมกระเป๋าเดินทาง ถ้ายืนตลอดทางนี่พังแน่นอน

- จากสนามบิน ต้องมาเปลี่ยนสายที่สถานี Minami-Chitose ก็กะว่าจะแวะคอนบินิไว้กินบนรถไฟ แต่เพิ่งรู้ว่าเป็นสถานีเล็กๆ ไม่มีของขายที่ชานชาลาเลย ด้วยเวลาอันกระชั้นชิดเลยต้องอดข้าวกลางวันตลอดทางไป Hakodate จนบ่ายสองกว่าๆ (ตอนจะขึ้นรถไฟเพิ่งเหลือบไปเห็นซุ้มเอคิเบนร้างๆ แต่ไม่มีอย่างอื่นขายเลย เอาเป็นว่าแนะนำให้ตุนสเบียงจากสนามบินมาจะดีที่สุด)

- โชคดี มีที่นั่งพอดีเป๊ะ ส่วนลุงที่ขึ้นมาหลังเราต้องยืนยาวๆไป (แต่แกลงสถานีไม่ไกลมาก)
คำเตือนคือ สายรถไฟ Limited Express ของที่นี่ไม่มีที่เก็บกระเป๋าเยอะๆแบบพวกสาย JR Kyushu หรือ JR East ถ้าได้นั่งหลังๆก็อาจพอซุกไว้ท้ายตู้ได้ แต่ส่วนมากต้องยกเอาไว้บนชั้นวางเหนือหัว


Hakodate
- ถึง Hakodate จนได้ อากาศกำลังดี ลานหน้าสถานีสวยมาก มีสวนเล็กๆตลอดทาง มีดอกไม้หลากสีเป็นซุ้มๆให้ถ่ายรูป มีลาเวนเดอร์ด้วย

- เดินลากกระเป๋าไปเช็คอินที่โรงแรม Comfort Hotel อยู่หน้าสถานีรถราง Hakodate Ekimae เลย ใกล้และสะดวกมาก มีกาแฟให้นั่งกินที่ lobby ตั้งแต่บ่ายสามเป็นต้นไป

- ซื้อตั๋ว bus+tram 1 day pass 1,000 เยน คุ้มมาก เพราะใช้กับบัสที่พาขึ้นเขา Hakodate ได้เลย และแพลนว่าจะนั่งไป Goryokaku ก่อนด้วย ส่วนตัวคิดว่าสะดวกกว่านั่ง tram แล้วไปขึ้นกระเช้า ซึ่งแพงกว่า และคนเยอะกว่าด้วย

- บัตร 1-day pass ที่นี่เป็นแบบแถบแม่เหล็ก ซึ่งค่อนข้างต่างกับบัตร 1-day pass แบบที่ผมเคยเจอ คือมักเป็นกระดาษแล้วพิมพ์หรือขูดวันที่ ปกติแค่โชว์ให้คนขับก็ลงรถสบายใจเฉิบ แต่ของที่นี่ ต้องรับตั๋วเลขป้ายตอนขึ้นรถเหมือนกับจ่ายเงินสดปกติ ตอนลงก็ให้ใส่ตั๋วเลขป้ายในกล่อง แล้วเสียบบัตร 1-day pass ในช่องเสียบบัตร ไฟเขียวตึ๊ดขึ้นมาก็เป็นอันเสร็จพิธี ดึงบัตรออกแล้วลงจากรถได้

- ลงรถบัสแล้วเดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง Goryokaku Tower (ดูจากแผนที่แล้วใกล้กว่านั่ง tram มาก) บริเวณสี่แยกนั้นก็จะมีร้านเบอร์เกอร์ชื่อดัง Lucky Pierrot กับราเม็งชื่อดัง Ajisai ประชันกันตรงนั้นเลย ใครยังไม่กินข้าวมาก็ลุยโลดแบบไม่ต้องยั้ง

- แต่ผมจะเก็บไว้กินวันอื่นครับ เพราะอยากมาลองชิมแกงกะหรี่ Gotoken เข้ามาในบริเวณ Tower ขึ้นบันไดมาจะอยู่ชั้นสอง

- สั่งตัวเบสิคสูตรดั้งเดิม มาแบบเยกข้าวกับแกงอย่างละจาน รสชาติก็โอเค ไม่ได้เทพอะไรนัก แต่กลิ่นหอมดี ทีเด็ดคือผักดองอร่อย สั่ง kirin มาขวดนึงเย็นชื่นใจ มาพร้อมถั่วและลูกเกดให้กินแกล้มเบียร์

- กินคาวเสร็จก็จัดหวานทันที ไอติม Milkissimo ร้านอยู่ติดกันเลย จัดไป ไอติมเจลาโตชาเขียว 1 ถ้วย เนื้อเนียนนุ่ม ไม่หวานมาก รสชาติดี ขึ้นชื่อว่ามาฮอกไกโดแล้ว เจออะไรที่เป็นนมก็แดกๆไปเหอะ อร่อยหมด

- อิ่มหนำสำราญก็ได้เวลาขึ้นหอ ซื้อตั๋วพนง.ถามว่ามาจากประเทศไหน พอบอกว่ามาจากไทยเค้าก็หาโบรชัวร์ภาษาไทยให้เลย จากนั้นก็พาขึ้นลิฟต์อารมณ์เหมือนตอนขึ้นพวกหอสูงๆที่อื่น คือมีพนง.คอยประจำแล้วเล่าเรื่องราว มีเล่นแสงสีเสียงในลิฟต์ดูตื่นตาตื่นใจ แป๊ปๆก็มาถึงบนหอชมวิว

- ขึ้นมาดูป้อม Goryokaku สวยดีนะ เราว่าคุ้ม ขึ้นมาเหอะ อย่างกเลย มันดูน่าทึ่งดีที่คนสมัยนั้นสร้างป้อมอะไรแบบนี้ได้ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาประวัติศาสตร์ตอนช่วงสงคราม กลยุทธ์การใช้ป้อมเป็นที่ตั้งรับ และรูปแบบการสร้างป้อมรูปดาวจากที่อื่นทั่วทุกมุมโลก

- นั่งบัสกลับมาที่ bus center รอรถที่จะพาขึ้นเขา มีป้ายบอกเวลาเที่ยวถัดไปชัดเจน มีภาษาอังกฤษ ไม่ต้องกลัวหลง ที่นี่ทำป้ายดีมาก ขึ้นรถมามีบอร์ดเขียนด้วยมือ แจ้งด้วยว่าวันนี้อากาศบนเขาเป็นยังไง พระอาทิตย์จะตกกี่โมง ควรสวมชุดแบบไหน คือโคตรแห่งความ customer friendly เลย

- บัสขาขึ้นคนไม่เยอะ ใช้เวลาเกือบ 40 นาทีก็ถึงยอดเขา วันนี้อากาศดีลมเย็นสบาย ก็อยู่เดินเล่นถ่ายรูปไปรอพระอาทิตย์ตก

- พอเริ่มค่ำคนยิ่งไปจองที่ริมระเบียงเยอะขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งดึกวิวยิ่งสวย คนก็ยิ่งอัดแน่นเรื่อยๆ เยอะชิบหาย วุ่นวายมาก ถ้าไม่สนใจว่าต้องให้ได้มุมมหาชน เราแนะนำว่าให้ลงมาด้านล่าง ตรงป้ายชื่อภูเขามันจะมีทางเดินด้านขวา เดินไปจนสุดก็เห็นวิวมุมใกล้เคียงกับมุมมหาชนเลย แต่ดีกว่าเยอะที่ไม่มีคนอัดแน่น

- ขากลับนี่แหละ เห็นคิวพวกนั่งกระเช้าลงแล้วสยองแทน ไม่รู้จะได้ลงตอนกี่ทุ่ม เรากลับมารอบัสที่เดิม รอคิวแค่คันเดียวเอง รถบัสขากลับต้องยืนและแน่นนิดหน่อย ทางลงเขาจะคดเคี้ยว เกาะแน่นๆ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าหิ้วของมาเยอะ

- มาลงแถวๆโกดังแดง เพราะจะไปโดน Hakodate Beer ปิดท้ายวันนี้ ไปถึงก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว (last order 3 ทุ่มครึ่ง ปิด 4 ทุ่ม) สั่งเบียร์แบบ sample 4 ชนิดมาชิม ไส้กรอกรวมอร่อยโคตรๆ เข้ากับเบียร์มากๆ

- ออกจากร้านเกือบ 4 ทุ่ม เดินมาขึ้น tram กลับ แวะเซเว่นเล็กน้อยก่อนเข้าโรงแรมเป็นอันจบวันแรก

Goryokaku (五稜郭)
Goryokaku (五稜郭)


วันที่ 2:

Hakodate
- ตื่นเช้ามาจัดอาหารเช้าโรงแรมเล็กน้อยพอเป็นพิธี อาหารเช้าถือว่าโอเคเลย scrambled egg อร่อย ไส้กรอกอร่อย หนมปังมีเตาติ๊ง กินแค่พอชิมๆเพราะเดี๋ยวจะออกไปโดนที่ตลาดเช้า

- จากโรงแรมเดินแป๊ปเดียวก็ถึงตลาดเช้า ก็เดินมุ่งสู่เป้าหมายแรก ร้าน Uni Murakami ชื่อร้านก็บอกอยู่แล้วว่าตั้งใจจะมาโดน uni ให้หายอยาก เดินมาถึงหน้าร้านเซอร์ไพรส์เลยจ้า ร้านปิด

- เลยต้องเปิดดูร้านสำรองที่เตรียมไว้ มาจบที่ kikuyo แทน สั่งข้าวหน้า uni + hotate เฉยๆมาก ก็โอเค แต่ไม่ดีอย่างที่หวังไว้ uni ยังถือว่าไม่ค่อยสด

- เดินเล่นแถวนี้ก็มีครบหมด ใครอยากลองอะไรก็ลองเลย ร้านแถวนี้ก็แทบจะเหมือนๆกันทุกร้าน ปู หมึก หอย ซื้อแล้วให้เค้าย่างทำให้พร้อมกินได้เลย

- แต่เรามาโดนเมลอนแทน ซีกนึงเริ่มต้น 200 เยน ถ้าเกรดดีๆก็ขึ้นไปถึง 500 เยนก็มี แต่เนื้อมันต่างกันจริงๆนะ แบบแพงเนื้อจะฉ่ำกว่า หอมกว่า เข้าปากปุ๊ปละมุนแทบละลายแบบไม่ต้องเคี้ยวเลย อันนี้อร่อย

- แวะไปดูร้านตกหมึกในตำนาน คนเยอะมาก มีเจ๊คนนึงเทพจัด ตกได้ทีเดียว 2 ตัว คนฮือฮากันใหญ่ แต่เจ้าของบอกให้เลือกเอาตัวไหน ได้ตัวเดียวนะจ๊ะ เซ็งแทนเลย

- เดินเล่นจนพอใจก็กลับมาขึ้น tram ไปลงสถานี Suehirocho เดินเที่ยวกงสุลอังกฤษเก่ากับตึกที่ทำการเก่า วิวสวยดี ขึ้นมาบนเนินแล้วมองเห็นทะเลและท่าเรือ

- เดินเข้ามาชมภายในตึกที่ทำการเก่า ไฮไลท์คือชั้นสองเป็นโถงใหญ่ๆ มี grand piano อยู่บนเวที ทุกวันนี้ยังมีจัดคอนเสิร์ตที่นี่อยู่เรื่อยๆ แล้วก็เดินออกมาตรงระเบียงชมวิว ตรงนี้ก็ถ่ายรูปรัวๆ

- เดินต่อไปอีกนิด ก็ถึงมุมมหาชน Hachimanzaka Slope คนมายืนถ่ายรูปกันเพียบ มีคนขับรถมาจอดข้างทางแล้วลงมาถ่ายแชะๆละก็รีบออกรถไป คือตรงนี้ฮิตกันมาก ถ้าพลาดจะคุยกะเค้าไม่รู้เรื่อง

- เดินต่อไปอีกจะมีโบสถ์ทั้ง othodox และ catholic สวยดี แวะถ่ายรูปเล็กน้อย แล้วเดินลงไปสู่ย่าน Kanemori หรือที่คนไทยรู้จักดีว่าย่านโกดังแดง

- ฝนลงหนักมาก แวะกินกาแฟตรงสามแยก ร้าน California Bay บรรยากาศดี เป็นคาเฟ่แบบฝรั่งเก่าๆ เน้นกาแฟและเบียร์

- เดินเล่นแถวโกดัง ร้านขายของเยอะดี มีร้านของที่ระลึกที่ทำจากหนัง เป็นงาน handmade งานดี ลายน่ารัก มีเขียนชื่อให้ฟรีด้วย ร้านอยู่ตรงทางที่จะไปห้องน้ำ

- ข้างๆ starbuck จะเป็นร้านขายของฝากใหญ่มากๆ ใครมองหาของฝากอะไรดังๆในฮอกไกโดที่นี่มีหมด มีบริการส่งแมวดำให้ด้วย ซื้อแล้วไม่ต้องแบก สบายมาก

- เดินเล่นจนเพลิน ย้อนกลับมาที่สามแยก ได้เวลาโดนเบอร์เกอร์ Lucky Pierrot ซะที สั่งตัวแนะนำเป็นไก่ทอดซอสจีน เพิ่มชีส ชิ้นใหญ่มาก อร่อย ไก่นุ่มร้อนๆ ขนมปังก็ใช้ได้ ราคาไม่แพง

- กินเสร็จก็แวะร้านข้างๆต่อเลย Hasegawa ตำนานร้านเบนโตะข้าวหมูย่างกว่า 60 ปี เวลาสั่งก็ดูเมนู(มีภาษาอังกฤษ) แล้วจดลงในใบออเดอร์เองได้เลย เลือกไซส์ เลือกซอส เขียนจำนวน แล้วเอาไปให้พนักงาน จ่ายเงิน แล้วจะได้บัตรคิวมา รอฟังเค้าเรียกคิว (อันนี้ไม่มีเลขคิวแสดงให้เห็นนะ ต้องฟังภาษาญี่ปุ่นจากพนักงาน ถ้าใครกลัวฟังไม่ออกก็ไปยืนจ่อแถวๆหน้าเคาน์เตอร์น่ะแหละ) ก็ไปรับข้าวกล่องมานั่งกินได้ แต่เราห่อเอาไปกินบนรถไฟขากลับ อร่อยมาก อร่อยน้ำตาจิไหล ไม่น่าเชื่อว่าจะอร่อยขนาดนี้ ดูเป็นข้าวกล่องธรรมดาๆ แต่รสชาติดีมาก (เราสั่งแบบ shio tare) หมูนุ่ม หอม เสียบไม้สลับกับต้นหอมญี่ปุ่น วางบนสาหร่ายแผ่นใหญ่แล้ววางบนข้าวอีกที ข้าวก็นุ่ม อร่อยมาก อันนี้อย่าพลาด เตือนแล้วนะ

- นั่ง tram กลับมาที่โรงแรม เอากระเป๋า แล้วไปนั่งรอที่สถานี Hakodate นั่งยาวๆไป Sapporo


ย่านโกดังแดง (Kanemori)
ย่านโกดังแดง (Kanemori) ในวันที่ฝนตก


Sapporo
- ถึง Sapporo แล้ว เดินจากสถานีไปเช็คอินที่โรงแรม Sapporo Grand Hotel โรงแรม 4 ดาว บริการดี ห้องใหญ่ ห้องน้ำใหญ่ ทำเลดี ราคาไม่ถือว่าสูงมาก

- เดินกลับมาที่สถานี JR ขี้นไปชั้น 6 ของห้าง Stella จะเป็นชั้นรวมร้านอาหาร ตรงดิ่งไปที่ร้านซูชิในตำนาน Hanamaru คิดว่าดึกแล้วคนน่าจะน้อย ที่ไหนได้ ปิดรับคิวไปแล้วเพราะคนรอคิวเยอะเกินจนไม่ทันร้านปิด เลยต้องงัดแผนสำรองมาโดนข้าวหน้าหมูย่าง Tokachi Butadon Ippin แทน

- คิวยาวอีก รอไป 14 คิว ประมาณ 40 นาที มีเมนูอังกฤษ มีรูป สั่งแบบไซส์ปกติ หมู 2 ชิ้น อิ่มกำลังดี หมูอร่อยมาก ซอสรสชาติดี ผ่าน คุ้มค่ากับการรอคิว อิ่มแล้วก็เดินกลับโรงแรมพักผ่อน เป็นอันจบวันที่สอง

อ่านต่อตอนที่ 2: Otaru, Sapporo >>> คลิกที่นี่

ampmie152
http://ampmie152.blogspot.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

[MUS001] Kazoo...เครื่องดนตรีที่ใครๆก็เล่นได้!

[OTH004] มาเล่นแฟลกฟุตบอลกันเถอะ!

[INV033] รีวิว 6 เดือน กับการเป็น FA ที่ Finnomena

[IT006] How to convert UTF-8 to ANSI ? (Thai fonts)

[INV023] วิธีใช้ไฟล์ excel ประเมินมูลค่าหุ้นคร่าวๆจากงบการเงิน