[INV013] ข้อคิดจากการลงทุนของผม ประจำปี 2014 (2557)
ผมตั้งใจว่าจะเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อเป็นเครื่องเตือนตนเองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละปี
เพราะเรื่องของการลงทุนนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ทั้งจากตัวเราและจากสถานการณ์ภายนอก
เมื่อได้มีโอกาสศึกษาเหตุการณ์ในอดีตมากขึ้น ก็พบว่ามันให้บทเรียนอะไรเราได้มากมาย
ผมจึงอยากบันทึกไว้ให้เป็นเหมือน "รายงานประจำปี" ของตัวเอง
เพื่อว่าวันหนึ่งเรากลับมาย้อนดูเรื่องราวเหล่านี้ เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่ชัดเจนขึ้น
หรือแม้แต่การฉุดให้ตัวเองกลับมาสู่สิ่งที่ควรจะเป็น เมื่อคราวใดที่เราอาจหลงทางไปในอนาคต
...
ผมเริ่มลงทุนจากการซื้อกองทุนในปี 2009 นั่นคือปีที่เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงานปีแรก ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มมีเงินเก็บจากการทำงานด้วยตนเองเป็นปีแรกเช่นกัน
ผมใช้เวลาค่อยๆศึกษาเรื่องการลงทุนในรูปแบบต่างๆ พอกลางปี 2011 ผมก็ค่อยเริ่มเข้าตลาดหุ้น จนถึงปีนี้เป็นเวลา 3 ปีกว่าๆที่ "อยู่ในตลาดมาตลอด"
สำหรับปี 2014 เป็นปีที่มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก...
ทั้งตัวผมเอง...เรียนจบปริญญาโท และเริ่มใช้เวลาว่างเสาร์อาทิตย์ในการศึกษาเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เรียกได้ว่าความเข้มข้นของการเรียนรู้จาก 2 ปีที่ผ่านมายังไม่เท่าปีนี้ปีเดียว ฉะนั้นถ้าจะมองว่าผมเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้น "อย่างจริงจัง" เมื่อไหร่? ผมคิดว่าคำตอบคือ "แค่ 1 ปี" มากกว่า
ไม่ใช่แค่เพียงการเรียนรู้ แต่รวมถึง "วิธีการ" และ "เป้าหมาย" ในการลงทุน ก็เป็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ด้วย
ทั้งสภาพตลาด...ที่ปีนี้ตลาดหุ้นกลับมาให้ผลตอบแทนที่สูงมาก เป็นที่ดึงดูดให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในปริมาณที่ผมคิดว่า "เยอะเกินไป" หลายคนไม่เคยศึกษาและประเมินตนเองก่อนจะเข้าสู่สนามรบ มีเพียงคำถามติดตัวว่า "หุ้นตัวไหนดี?" หรือ "อยากรวยเร็วๆต้องทำยังไง?"
แต่ในที่สุดมันก็แผลงฤทธิ์ในเดือนสุดท้าย ถือเป็นอีกเหตุการณ์ที่เราต้องจดจำในปี 2014 นี้ ตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ผลตอบแทนของผมก็ลดลงไปมากกว่าที่คิด แต่ถึงกระนั้นผมกลับพอใจกับ "การรับมือ" ของตัวเองมากขึ้น สิ่งที่ผมทำคืออัพเดทราคาหุ้นและคอยเปรียบเทียบกับราคาเป้าหมายที่ผมคำนวณไว้ มองหาโอกาสจาก Margin Of Safety ที่เกิดขึ้น ถ้าเราทำการบ้านมาตลอดเวลาแล้ว นี่ก็อาจเป็นโอกาสที่ดี
แต่เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์เราก็พบว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ มันเคยเกิดขึ้นแบบทุกครั้ง แล้วมันก็จะผ่านไปแบบทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้ยังเป็นบทเรียนให้เราเตือนใจตนเอง เมื่อเราได้ผ่านเหตุการณ์ที่แย่สุดๆไปจนถึงดีสุดๆแล้วต่อไปก็อาจจะแย่สุดๆอีกครั้ง เราได้เห็นผู้คนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป บางคนกลับมา บางคนไม่เคยกลับมา บางคนยังอยู่ทน บางคนต้องทนอยู่
...มีคำกล่าวว่า "ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมชั้นเลิศ"
ผมเห็นด้วยบางส่วน ก็เพราะการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันคือเรื่องธรรมดาที่เราเจออยู่ทุกวัน.
ต่อไปนี้คือ 3 สิ่งที่ผมได้บทเรียนในปี 2014 นี้
1. "อย่าโลภเกินความรู้" - อันที่จริงประโยคนี้น่าจะเป็นสิ่งแรกๆที่อาจารย์สอนผม มันใช้ได้ทุกครั้ง และมันก็กลับมาตีหัวให้ผมรู้สึกตัวทุกครั้งที่ทำพลาดไป เพราะแทบจะทุกครั้งของความผิดพลาดมันเกิดจากการที่เราคิดว่ารู้ดีแล้ว เมื่อความโลภบังตาขึ้นมาเราจะลืมสิ่งที่เราเรียนมาจนหมดสิ้น
คำพูดที่ว่า...
"ตัวนี้กำลังมา"
"ตอนนี้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว"
"กำไรจะเติบโตทุกๆปี"
...คือกับดักที่อันตรายที่สุดโดยไม่รู้ตัว
2. "ผลงานในปีนี้ ไม่ได้บ่งบอกถึงฝีมืออะไรของเราเลย" - หลายครั้งมันก็ยากที่จะบอกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ฟลุคหรือเป็นเพราะฝีมือ ทำไมเราโทษดวงเวลาเราขาดทุน แต่กลับอวดอ้างฝีมือเมื่อได้กำไร?
สำหรับการลงทุนเน้นคุณค่าระยะยาวแล้ว ผมก็จะไม่รีบด่วนตัดสินมันภายในปีเดียวสั้นๆที่ตลาดพุ่งแรงเกินไปแบบนี้ หรือในช่วงเดือนสุดท้ายที่ตลาดดิ่งลงแรงๆแบบนี้ มันเหมือนการปลูกต้นไม้ใหญ่ สิ่งที่ลงทุนลงแรงทำวันนี้อาจจะไม่ได้ผลให้เรากินในวันพรุ่งนี้ สำคัญที่สุดคือการประเมินคุณภาพธุรกิจที่แม่นยำ ซึ่งผมมองว่ามันทำให้เราเห็นความแตกต่างของเซียนหุ้นกับคนทั่วๆไป ผมมักจะพบว่าประสบการณ์ที่ยาวนานของเซียนหุ้นตัวจริง จะอ่านเกมส์ธุรกิจได้ขาดมากกว่าคนทั่วไป
3. "สนุกกับการลงทุน" - หากคุณค่าของการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่เพียงจุดหมายแต่คือระหว่างเดินทาง การลงทุนก็เช่นกัน จะมีประโยชน์ใด ถ้าเพียงเล่นหุ้นไปวันๆ เฝ้าหน้าจอไปวันๆ คอยตามข่าวแบบไม่เป็นอันต้องทำอะไร หรือเล่นด้วยความเสี่ยงเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว ถึงแม้จะได้กำไรมากแต่ก็ต้องแลกมาด้วยสุขภาพจิตที่เสียไปโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงตัวผมเองก็ยังไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ดีเท่ากับเซียนหุ้นหลายๆคน แต่ลักษณะที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าดีขึ้นมาก ผมใช้เวลาดูราคาหุ้นน้อยลง แล้วใช้เวลาศึกษาธุรกิจมากขึ้น แล้วผมก็เริ่มสนุกกับมัน เริ่มสนุกกับการอ่านรายงานประจำปี เริ่มสนุกกับการฟังผู้บริหารตอบคำถามนักลงทุนในวัน opp day
ที่สำคัญที่สุดคือ มันทำให้ผมไม่ยึดติดความสำเร็จที่ผลกำไรมากเกินไป การลงทุนยังทำให้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ได้สนทนากับคนเก่งๆ แลกเปลี่ยนมุมมองที่น่าสนใจ ชักชวนกันไปเรียนเพิ่มเติมหรือฟังสัมมนา ซึ่งผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ก็สำคัญมากไม่ได้แพ้เรื่องเงินเลย
สำหรับผลตอบแทนในปีนี้ ผมทำได้แค่พอๆกับตลาดเท่านั้น นั่นแปลว่าหากคุณไม่อยากเหนื่อย เสียเวลาคอยติดตามหุ้นรายตัว บางทีการซื้อกองทุนก็เป็นคำตอบที่ดี เพราะมีหลายกองทุนซึ่งทำผลงานได้ดีกว่าผลตอบแทนของตลาดมากๆ
แต่สำหรับผมที่ต้องการพัฒนาตนเองในด้านการลงทุน ก็คงต้องวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ และวัดผล เพื่อให้สามารถอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ผมตระหนักดีว่าตนเองยังเป็น "มือใหม่" มากๆในสนามแห่งนี้
และยังคงต้องเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ต้องใช้ "เวลา" เท่านั้นในการพิสูจน์.
ampmie152.
http://ampmie152.blogspot.com/
เพราะเรื่องของการลงทุนนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ทั้งจากตัวเราและจากสถานการณ์ภายนอก
เมื่อได้มีโอกาสศึกษาเหตุการณ์ในอดีตมากขึ้น ก็พบว่ามันให้บทเรียนอะไรเราได้มากมาย
ผมจึงอยากบันทึกไว้ให้เป็นเหมือน "รายงานประจำปี" ของตัวเอง
เพื่อว่าวันหนึ่งเรากลับมาย้อนดูเรื่องราวเหล่านี้ เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่ชัดเจนขึ้น
หรือแม้แต่การฉุดให้ตัวเองกลับมาสู่สิ่งที่ควรจะเป็น เมื่อคราวใดที่เราอาจหลงทางไปในอนาคต
...
ผมเริ่มลงทุนจากการซื้อกองทุนในปี 2009 นั่นคือปีที่เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยและเริ่มทำงานปีแรก ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มมีเงินเก็บจากการทำงานด้วยตนเองเป็นปีแรกเช่นกัน
ผมใช้เวลาค่อยๆศึกษาเรื่องการลงทุนในรูปแบบต่างๆ พอกลางปี 2011 ผมก็ค่อยเริ่มเข้าตลาดหุ้น จนถึงปีนี้เป็นเวลา 3 ปีกว่าๆที่ "อยู่ในตลาดมาตลอด"
สำหรับปี 2014 เป็นปีที่มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก...
ทั้งตัวผมเอง...เรียนจบปริญญาโท และเริ่มใช้เวลาว่างเสาร์อาทิตย์ในการศึกษาเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น เรียกได้ว่าความเข้มข้นของการเรียนรู้จาก 2 ปีที่ผ่านมายังไม่เท่าปีนี้ปีเดียว ฉะนั้นถ้าจะมองว่าผมเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้น "อย่างจริงจัง" เมื่อไหร่? ผมคิดว่าคำตอบคือ "แค่ 1 ปี" มากกว่า
ไม่ใช่แค่เพียงการเรียนรู้ แต่รวมถึง "วิธีการ" และ "เป้าหมาย" ในการลงทุน ก็เป็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ด้วย
ทั้งสภาพตลาด...ที่ปีนี้ตลาดหุ้นกลับมาให้ผลตอบแทนที่สูงมาก เป็นที่ดึงดูดให้มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในปริมาณที่ผมคิดว่า "เยอะเกินไป" หลายคนไม่เคยศึกษาและประเมินตนเองก่อนจะเข้าสู่สนามรบ มีเพียงคำถามติดตัวว่า "หุ้นตัวไหนดี?" หรือ "อยากรวยเร็วๆต้องทำยังไง?"
แต่ในที่สุดมันก็แผลงฤทธิ์ในเดือนสุดท้าย ถือเป็นอีกเหตุการณ์ที่เราต้องจดจำในปี 2014 นี้ ตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ผลตอบแทนของผมก็ลดลงไปมากกว่าที่คิด แต่ถึงกระนั้นผมกลับพอใจกับ "การรับมือ" ของตัวเองมากขึ้น สิ่งที่ผมทำคืออัพเดทราคาหุ้นและคอยเปรียบเทียบกับราคาเป้าหมายที่ผมคำนวณไว้ มองหาโอกาสจาก Margin Of Safety ที่เกิดขึ้น ถ้าเราทำการบ้านมาตลอดเวลาแล้ว นี่ก็อาจเป็นโอกาสที่ดี
แต่เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์เราก็พบว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ มันเคยเกิดขึ้นแบบทุกครั้ง แล้วมันก็จะผ่านไปแบบทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้ยังเป็นบทเรียนให้เราเตือนใจตนเอง เมื่อเราได้ผ่านเหตุการณ์ที่แย่สุดๆไปจนถึงดีสุดๆแล้วต่อไปก็อาจจะแย่สุดๆอีกครั้ง เราได้เห็นผู้คนที่ผ่านมาแล้วผ่านไป บางคนกลับมา บางคนไม่เคยกลับมา บางคนยังอยู่ทน บางคนต้องทนอยู่
...มีคำกล่าวว่า "ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมชั้นเลิศ"
ผมเห็นด้วยบางส่วน ก็เพราะการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันคือเรื่องธรรมดาที่เราเจออยู่ทุกวัน.
ต่อไปนี้คือ 3 สิ่งที่ผมได้บทเรียนในปี 2014 นี้
1. "อย่าโลภเกินความรู้" - อันที่จริงประโยคนี้น่าจะเป็นสิ่งแรกๆที่อาจารย์สอนผม มันใช้ได้ทุกครั้ง และมันก็กลับมาตีหัวให้ผมรู้สึกตัวทุกครั้งที่ทำพลาดไป เพราะแทบจะทุกครั้งของความผิดพลาดมันเกิดจากการที่เราคิดว่ารู้ดีแล้ว เมื่อความโลภบังตาขึ้นมาเราจะลืมสิ่งที่เราเรียนมาจนหมดสิ้น
คำพูดที่ว่า...
"ตัวนี้กำลังมา"
"ตอนนี้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว"
"กำไรจะเติบโตทุกๆปี"
...คือกับดักที่อันตรายที่สุดโดยไม่รู้ตัว
2. "ผลงานในปีนี้ ไม่ได้บ่งบอกถึงฝีมืออะไรของเราเลย" - หลายครั้งมันก็ยากที่จะบอกได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ฟลุคหรือเป็นเพราะฝีมือ ทำไมเราโทษดวงเวลาเราขาดทุน แต่กลับอวดอ้างฝีมือเมื่อได้กำไร?
สำหรับการลงทุนเน้นคุณค่าระยะยาวแล้ว ผมก็จะไม่รีบด่วนตัดสินมันภายในปีเดียวสั้นๆที่ตลาดพุ่งแรงเกินไปแบบนี้ หรือในช่วงเดือนสุดท้ายที่ตลาดดิ่งลงแรงๆแบบนี้ มันเหมือนการปลูกต้นไม้ใหญ่ สิ่งที่ลงทุนลงแรงทำวันนี้อาจจะไม่ได้ผลให้เรากินในวันพรุ่งนี้ สำคัญที่สุดคือการประเมินคุณภาพธุรกิจที่แม่นยำ ซึ่งผมมองว่ามันทำให้เราเห็นความแตกต่างของเซียนหุ้นกับคนทั่วๆไป ผมมักจะพบว่าประสบการณ์ที่ยาวนานของเซียนหุ้นตัวจริง จะอ่านเกมส์ธุรกิจได้ขาดมากกว่าคนทั่วไป
3. "สนุกกับการลงทุน" - หากคุณค่าของการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่เพียงจุดหมายแต่คือระหว่างเดินทาง การลงทุนก็เช่นกัน จะมีประโยชน์ใด ถ้าเพียงเล่นหุ้นไปวันๆ เฝ้าหน้าจอไปวันๆ คอยตามข่าวแบบไม่เป็นอันต้องทำอะไร หรือเล่นด้วยความเสี่ยงเกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว ถึงแม้จะได้กำไรมากแต่ก็ต้องแลกมาด้วยสุขภาพจิตที่เสียไปโดยไม่รู้ตัว อันที่จริงตัวผมเองก็ยังไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ดีเท่ากับเซียนหุ้นหลายๆคน แต่ลักษณะที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าดีขึ้นมาก ผมใช้เวลาดูราคาหุ้นน้อยลง แล้วใช้เวลาศึกษาธุรกิจมากขึ้น แล้วผมก็เริ่มสนุกกับมัน เริ่มสนุกกับการอ่านรายงานประจำปี เริ่มสนุกกับการฟังผู้บริหารตอบคำถามนักลงทุนในวัน opp day
ที่สำคัญที่สุดคือ มันทำให้ผมไม่ยึดติดความสำเร็จที่ผลกำไรมากเกินไป การลงทุนยังทำให้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ได้สนทนากับคนเก่งๆ แลกเปลี่ยนมุมมองที่น่าสนใจ ชักชวนกันไปเรียนเพิ่มเติมหรือฟังสัมมนา ซึ่งผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ก็สำคัญมากไม่ได้แพ้เรื่องเงินเลย
สำหรับผลตอบแทนในปีนี้ ผมทำได้แค่พอๆกับตลาดเท่านั้น นั่นแปลว่าหากคุณไม่อยากเหนื่อย เสียเวลาคอยติดตามหุ้นรายตัว บางทีการซื้อกองทุนก็เป็นคำตอบที่ดี เพราะมีหลายกองทุนซึ่งทำผลงานได้ดีกว่าผลตอบแทนของตลาดมากๆ
แต่สำหรับผมที่ต้องการพัฒนาตนเองในด้านการลงทุน ก็คงต้องวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ และวัดผล เพื่อให้สามารถอยู่ในตลาดได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ผมตระหนักดีว่าตนเองยังเป็น "มือใหม่" มากๆในสนามแห่งนี้
และยังคงต้องเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ที่ต้องใช้ "เวลา" เท่านั้นในการพิสูจน์.
ampmie152.
http://ampmie152.blogspot.com/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น