116
ไดอารี่ที่รัก...
ในที่สุดโปรเจคก็จบเสียที
โปรเจคเปรียบเสมือนตัวแทนของการจบการศึกษา
ถึงแม้ว่ายังจะเหลือสอบอีกตัวหนึ่งก็ตาม
...
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมทุ่มเทเวลากับโปรเจคของผมมากพอสมควร
บางครั้งมันก็มากเกินไปจนเบียดเบียนเวลาในการทำอย่างอื่น
และหลายครั้ง แม้เวลามันจะไม่เบียดเบียนกัน
แต่การที่ยังรู้สึกว่าโปรเจคยังไม่เสร็จ ก็ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงทั้งกายและใจที่จะไปทำอย่างอื่นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายนัก
เมื่อเราโตขึ้น เราก็รู้จักแบ่งเวลาและจัดการมันได้อย่างเป็นระบบมากกว่าแต่ก่อน
สำหรับผมแล้ว ชีวิตปี 4 นี้ดูสมดุลและเรียบง่ายที่สุดแล้ว
ผมยังมีเวลาที่จะออกกำลังกายในแต่ละสัปดาห์ได้มากกว่าปีอื่นๆ
มีเวลาหนีไปเที่ยวปายระหว่างภาคเรียน
มีเวลาซ้อมดนตรีกับเพื่อนๆสมัยมัธยมปลาย
รวมถึงมีเวลาที่จะศึกษาและทำความเข้าใจชีวิตใครสักคน :)
...
สิ่งสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อเวลาทำงานหนัก ก็หนีไม่พ้นเรื่องสุขภาพ
ช่วงนี้ผมหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น
พยายามรักษาเวลาในการออกกำลังกายให้คงที่
และที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องของการบริโภค
มันเริ่มจากแรงบันดาลใจที่เห็นเด็กๆที่กินเจ กินมังสวิรัติแล้วสุขภาพแข็งแรง
เด็กๆเหล่านั้นถูกปลูกฝังมาจากพ่อแม่ที่รับประทานแบบนั้นมาก่อน
หากมีการวางแผนที่ดีในการบริโภค แม้งดเนื้อสัตว์ก็ไม่ทำให้ขาดสารอาหาร
เพราะต้องรู้จักว่าเราขาดอะไรแล้วต้องเสริมอะไร
นอกจากนี้การงดบริโภคเนื้อสัตว์ก็ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลดลงมากด้วย
หลังจากเห็นตัวอย่าง และอ่านบทความมาประมาณหนึ่งผมก็เริ่มอยากทดลองตามประสาวัยสะรุ่น!
...
ผมขออนุญาตเรียกมันว่า "ชีวจิตอินเทรนด์"...คือ ชีวจิตที่เราเลือกประยุกต์ให้เหมาะกับวิถีของตนเอง
ผมเริ่มที่จะงดกินสัตว์บกมาได้ 3-4 วันแล้ว
ขอเรียกว่าเป็นรูปแบบของ "มังสวิรัติ + เนื้อปลา + อาหารทะเลอื่นบ้างในบางครั้ง" แล้วกัน
เอาง่ายๆเลยก็คือ ผมไม่ซีเรียสว่าจะต้องงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด เพราะผมยังไม่มีความรู้ในการจัดการสารอาหารได้อย่างดีพอ
ผมจึงอนุโลมให้ตนเองสามารถกินเนื้อปลาได้ ด้วยการเล็งเห็นว่าเนื้อปลานั้นมีประโยชน์มากมาย
ส่วนอาหารทะเลอย่างอื่น เช่น กุ้ง หอย ปู ก็ยังมีอันตรายด้านคลอเรสโตรอลและกรดยูริคอยู่
จึงให้กินได้แค่บางโอกาสเท่านั้น เช่น เวลามีงานอะไรใหญ่ๆ นานๆจะกินกันที ก็กินบ้างเล็กน้อย
ส่วนอาหารที่กินเสริมอยู่เป็นประจำก็พวก นม และโยเกิร์ต
สรุปคือ ไม่สุดโต่งเกินไป เอาให้เหมาะกับวิถีชีวิตของเรา
ไม่เดือดร้อนคนอื่น ไม่เดือดร้อนตัวเรา ในการจะหาของกิน
กระทั่งหากว่าไม่มีทางเลือกในการบริโภคจริงๆ สถานการณ์บีบบังคับจะต้องกินเนื้อสัตว์ ก็ย่อมได้
ไม่ได้ถือว่าห้ามเด็ดขาดอย่างไร แต่เราก็กินน้อยๆ และพยายามเน้นไปที่ผักมากกว่า
เมื่อมื้อนั้นผ่านไปเราก็กลับสู่ระบบเราเหมือนเดิม
...
ต่อไปใครจะชวนผมไปซัดโฮกเนื้อย่างหรือหมูกระทะคงต้องคิดใหม่แล้วล่ะ :)
ในที่สุดโปรเจคก็จบเสียที
โปรเจคเปรียบเสมือนตัวแทนของการจบการศึกษา
ถึงแม้ว่ายังจะเหลือสอบอีกตัวหนึ่งก็ตาม
...
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมทุ่มเทเวลากับโปรเจคของผมมากพอสมควร
บางครั้งมันก็มากเกินไปจนเบียดเบียนเวลาในการทำอย่างอื่น
และหลายครั้ง แม้เวลามันจะไม่เบียดเบียนกัน
แต่การที่ยังรู้สึกว่าโปรเจคยังไม่เสร็จ ก็ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงทั้งกายและใจที่จะไปทำอย่างอื่นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายนัก
เมื่อเราโตขึ้น เราก็รู้จักแบ่งเวลาและจัดการมันได้อย่างเป็นระบบมากกว่าแต่ก่อน
สำหรับผมแล้ว ชีวิตปี 4 นี้ดูสมดุลและเรียบง่ายที่สุดแล้ว
ผมยังมีเวลาที่จะออกกำลังกายในแต่ละสัปดาห์ได้มากกว่าปีอื่นๆ
มีเวลาหนีไปเที่ยวปายระหว่างภาคเรียน
มีเวลาซ้อมดนตรีกับเพื่อนๆสมัยมัธยมปลาย
รวมถึงมีเวลาที่จะศึกษาและทำความเข้าใจชีวิตใครสักคน :)
...
สิ่งสำคัญที่คนมักมองข้ามเมื่อเวลาทำงานหนัก ก็หนีไม่พ้นเรื่องสุขภาพ
ช่วงนี้ผมหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น
พยายามรักษาเวลาในการออกกำลังกายให้คงที่
และที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องของการบริโภค
มันเริ่มจากแรงบันดาลใจที่เห็นเด็กๆที่กินเจ กินมังสวิรัติแล้วสุขภาพแข็งแรง
เด็กๆเหล่านั้นถูกปลูกฝังมาจากพ่อแม่ที่รับประทานแบบนั้นมาก่อน
หากมีการวางแผนที่ดีในการบริโภค แม้งดเนื้อสัตว์ก็ไม่ทำให้ขาดสารอาหาร
เพราะต้องรู้จักว่าเราขาดอะไรแล้วต้องเสริมอะไร
นอกจากนี้การงดบริโภคเนื้อสัตว์ก็ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลดลงมากด้วย
หลังจากเห็นตัวอย่าง และอ่านบทความมาประมาณหนึ่งผมก็เริ่มอยากทดลองตามประสาวัยสะรุ่น!
...
ผมขออนุญาตเรียกมันว่า "ชีวจิตอินเทรนด์"...คือ ชีวจิตที่เราเลือกประยุกต์ให้เหมาะกับวิถีของตนเอง
ผมเริ่มที่จะงดกินสัตว์บกมาได้ 3-4 วันแล้ว
ขอเรียกว่าเป็นรูปแบบของ "มังสวิรัติ + เนื้อปลา + อาหารทะเลอื่นบ้างในบางครั้ง" แล้วกัน
เอาง่ายๆเลยก็คือ ผมไม่ซีเรียสว่าจะต้องงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด เพราะผมยังไม่มีความรู้ในการจัดการสารอาหารได้อย่างดีพอ
ผมจึงอนุโลมให้ตนเองสามารถกินเนื้อปลาได้ ด้วยการเล็งเห็นว่าเนื้อปลานั้นมีประโยชน์มากมาย
ส่วนอาหารทะเลอย่างอื่น เช่น กุ้ง หอย ปู ก็ยังมีอันตรายด้านคลอเรสโตรอลและกรดยูริคอยู่
จึงให้กินได้แค่บางโอกาสเท่านั้น เช่น เวลามีงานอะไรใหญ่ๆ นานๆจะกินกันที ก็กินบ้างเล็กน้อย
ส่วนอาหารที่กินเสริมอยู่เป็นประจำก็พวก นม และโยเกิร์ต
สรุปคือ ไม่สุดโต่งเกินไป เอาให้เหมาะกับวิถีชีวิตของเรา
ไม่เดือดร้อนคนอื่น ไม่เดือดร้อนตัวเรา ในการจะหาของกิน
กระทั่งหากว่าไม่มีทางเลือกในการบริโภคจริงๆ สถานการณ์บีบบังคับจะต้องกินเนื้อสัตว์ ก็ย่อมได้
ไม่ได้ถือว่าห้ามเด็ดขาดอย่างไร แต่เราก็กินน้อยๆ และพยายามเน้นไปที่ผักมากกว่า
เมื่อมื้อนั้นผ่านไปเราก็กลับสู่ระบบเราเหมือนเดิม
...
ต่อไปใครจะชวนผมไปซัดโฮกเนื้อย่างหรือหมูกระทะคงต้องคิดใหม่แล้วล่ะ :)
I've just tracked your link back and seen your blog right here. Very interesting, many pages were authored creatively and some are strange. I due respect them all.
ตอบลบFor my blog, I am just a newbie. I keep trying to write along. And you are the first one who hit it. Thank you for comment, bro.
By the way, we're gonna have drink some day, aren't we? 55555+
ยินดีล่วงหน้านะแอม จะเรียนจบแล้ว : )
ตอบลบ