[INV004] Note from Money Talk @ SET: ตามรอยหุ้นกูรูโลก (20-07-2014)
จดบันทึกของผมจากงาน Money Talk @ SET: ตอน "ตามรอยหุ้นกูรูโลก" (20-07-2014)
คำเตือน: จดตามที่ได้ยินและความเข้าใจของตนเอง ไม่รับประกันความถูกต้อง ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้
...โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล.
ตอนนี้เป็นการให้วิทยากรแต่ละท่าน พูดถึงแนวทางการลงทุนของกูรูระดับโลก 1 คน
และช่วยกันเสริมเรื่อง Warren Buffett ในตอนท้าย
คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ พูดถึง "Philip Fisher"
- ผลงานชื่อดังของ Fisher คือ "Common Stock, Uncommon Profit"
- Fisher เป็นอาจารย์คนหนึ่งของ Buffet เป็นผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล
- ช่วงแรกๆ Buffett ลงทุนแบบ Graham คือ Cigarbutt Investor หรือหุ้นก้นบุหรี่ พิจารณาแค่งบการเงิน เลือกหุ้นถูกที่ไม่มีคนสนใจแล้ว โดยจะดูเรื่อง Working Capital เป็นหลัก เทียบกับ market cap ถ้าพบว่าถูก ค่อยเข้าไปดูรายละเอียดต่อ
- พบว่าวิธีนี้ ซื้อแล้ว บางทีราคาหุ้นไม่ไปไหน
- Fisher มาดูที่ growth โดยมองที่ competitive advantage ในธุรกิจ, มองอนาคตของธุรกิจ, ถือหุ้นระยะยาว (10-30ปี) ช่วงหลังๆ Buffet จะมาทางแนวของ Fisher มากขึ้น
- Fisher ชอบหุ้นเทคโนโลยี เช่น Dow Chemical, Texas Instrument คือต้องเป็นหุ้นที่มี R&D ชัดๆ ถ้าเทียบสมัยนี้ก็เป็น Apple, Google
- วิธีหาหุ้น: เริ่มจากสัมภาษณ์ผู้บริหาร -> สัมภาษณ์คู่แข่ง (เพราะคู่แข่งมักจะเล่าเรื่องที่ไม่ดีให้ฟัง) -> สัมภาษณ์ลูกค้าและ supplier , ใช้เวลาตัดสินใจนาน แต่ถ้าเลือกแล้วจะทุ่มเลย ถือหุ้นแค่ 5-6 ตัว
- ศึกษาละเอียด วิเคราะห์อย่างดี ถือน้อยตัว ถือยาว
- ขายเมื่อ: ความสามารถในการแข่งขันลดลง, คู่แข่งมาก/เก่งขึ้น, เสียความเป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรม
- IPO ไม่ซื้อ ซื้อแต่หุ้นที่เติบโตมาเป็นระยะที่ชัดเจน
- ดูเรื่องจริยธรรมด้วย ความซื่อสัตย์ของผู้บริหารสำคัญมาก
- อย่าซื้อหุ้นแค่จากการอ่าน annual report อย่างเดียว, อย่าเชื่อผู้บริหารมากว่าทุกอย่างที่พูดจะจริง
- growth stock ต้องดูช่วงที่ตลาดตกต่ำ, ช่วงที่คนกลัว, ช่วงที่บริษัทมีปัญหาชั่วคราว
----------
คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข พูดถึง "Benjamin Graham"
- เคยทำกองทุนแล้วเจ๊ง เลยมาสอนหนังสือ
- เขียนเรื่อง "Security Analysis"
- เน้นเรื่องกระจายความเสี่ยงให้ปลดภัยเป็นหลัก เพราะเคยเจ็บตัวมาก่อน
- ใช้วิธี Net-Net: สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินทั้งหมด ถ้าเทียบกับราคาหุ้นได้บวกเยอะๆ ถือว่ามีอัพไซด์
- ไม่สนใจเรื่องของผู้บริหารและคุณภาพของธุรกิจ
- ถือหุ้น 10-20 ตัว เพราะวิธีนี้มีโอกาสพลาดสูง
- แบ่งประเภทนักลงทุนเป็น นักลงทุนเชิงรับและนักลงทุนเชิงรุก
- ถ้าไม่มีเวลาในการติดตามข่าวสารหรือหาข้อมูลหุ้นได้ตลอด ถือเป็นนักลงทุนเชิงรับ ให้ลงทุนกับบริษัทใหญ่ มีชื่อเสียง พวก blue chip และมีเงินปันผลที่ดีต่อเนื่อง
- ถ้ามีใช้เวลาทั้งวันได้ในการติดตามข้อมูลหุ้น ถือเป็นนักลงทุนเชิงรุก เลือกซื้อได้หมดตามใจ
- ที่คนเจ๊งกันเยอะเพราะเป็นนักลงทุนเชิงรับแต่ชอบไปเล่นหุ้นเชิงรุก
- ปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลงบการเงินและข้อมูลบริษัท เข้าถึงได้ง่ายทั่วกันหมดแล้ว วิธี Net-Net จึงใช้ไม่ค่อยได้ผลอีกแล้ว
- หลักการสำคัญ 1.) ซื้อหุ้น คือซื้อธุรกิจ 2.) ตลาดมีความผันผวน อย่าตกอยู่ในความผันผวนนั้น แต่จงใช้ประโยชน์จากมัน 3.) ต้องมี Margin of safety เผื่อความผิดพลาดไว้เสมอ
----------
ดร.กุศยา ลีฬหาวงศ์ พูดถึง "John Neff"
- ผลงานบริการกองทุน 31 ปี ชนะตลาดได้ตลอด
- ดูที่ผลประกอบการ คุณภาพของธุรกิจ และยังคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ ภาวะอุตสาหกรรม เอามาทำนายผลประกอบการด้วย
- วิธีเลือกหุ้น
1. เน้น PE ต่ำๆก่อน
2. growth ต้องมากกว่า 7% ต่อปี แต่ถ้าเกิน 20% จะขายทันที เช่นพวกมีกำไรพิเศษ คือจะเน้นแต่การเติบโตพื้นฐาน
3. ปันผลสม่ำเสมอ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
4. ผลตอบแทนเฉลี่ย คิดจาก growth + div. yield หารด้วย PE ควรอยู่ที่ 2:1 หรือดีกว่า
5. ถ้าเป็นหุ้นวัฏจักร ให้รอซื้อที่ PE ต่ำที่สุด เท่าที่จะทำได้หรือต่ำจากที่มันเคยเป็นมา
6. ลงทุนในอุตสาหกรรมที่เติบโต
7. ปัจจัยพื้นฐานดี ดูที่ ROE, NPM, EBIT margin
8. Free Cashflow ต้องดี
- มี MOS 25% หรือมากกว่า
- การขาย: มีสองเหตุผล 1.) พื้นฐานเปลี่ยน 2.) ราคาตลาดเท่ากับมูลค่าที่ประเมินได้
- ถ้าอยากเจ๊ง ให้ลงทุนหุ้นสายการบินพาณิชย์ , อย่าง Buffett จะไม่ลงทุน แต่จะลงทุนพวกโรงเรียนสอนการบิน หรือการบินแบบ time sharing แทน
----------
ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร พูดถึง "Peter Lynch"
- มี background มาจากเด็กที่เรียนศิลปะ
- บริหาร 13 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 30% ทบต้น
- เล่นหุ้นเกือบทุกตัว กองทุนใหญ่ ซื้อหลายๆตัว
- เป็นคนแรกที่บอกว่า นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพ ให้ใช้ common sense แบบคนธรรมดา มักจะรู้ข้อมูลสำคัญก่อนพวกนักวิเคราะห์ที่เอาแต่อยู่ในห้องค้า
- หุ้นดีๆอยู่รอบตัวเรา แต่คนชอบทำตรงข้าม คือไปมัวแต่หาข้อมูลยากๆจากที่อื่น
- แบ่งหุ้นเป็น 6 กลุ่ม หยิบหุ้นมาหนึ่งตัว ต้องบอกได้ว่าอยู่กลุ่มไหน
1. หุ้นโตช้า ขนาดใหญ่ ผลประกอบการทรงๆ อยู่ได้เรื่อยๆ
2. หุ้นแข็งแกร่ง มั่นคงสูง พวกหุ้น blue chip โตได้เรื่อยๆ ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ต้องรู้เวลาที่จะขาย ถ้ากำไรเยอะหน่อยก็ขายได้ เพราะไปคาดหวังให้โตเร็วไม่ได้
3. หุ้นโตเร็ว มักมีขนาดเล็ก โต 25% ไม่ต่ำกว่า 5 ปี ถือไว้นานๆ อาจได้เจอหุ้น 10 เด้ง ค่อยคิดขาย ต้องดูว่ากำไรนั้นโตมาได้ยังไง ถ้ามีอะไรที่เพิ่มสาขาจะชัดเจนมาก
4. หุ้นวัฏจักร โตเพราะราคาสินค้ามันขึ้น พวกเดินเรือ ได้จากค่าระวาง ต้องเล่นเป็นรอบ ผลตอบแทนมหาศาล และเจ๊งได้มหาศาลเช่นกัน กำไรขึ้นเร็วกว่าราคา ทำให้ PE ต่ำมาก เป็นกับดัก คือต้องซื้อตอน PE สูง เพราะกำไรแย่ราคาจะตกหนักกว่ากำไรที่ตก ให้ซื้อตอนที่ยอดขายกำลังมา ฟื้นตัวครั้งแรก
5. หุ้น turnaround ตกต่ำ ขาดทุน มีปัญหา ให้ดูที่เงินสดมากๆ หนี้ไม่เยอะ ซื้อตอนที่มั่นใจว่าจะกลับมาได้
6. หุ้นทรัพย์สินมาก เอา Asset - Debt มาเทียบกับ market cap ถ้าถูกก็ซื้อไว้ รอคนมา unlock มูลค่าของมัน
- ในระยะยาว ราคาหุ้นจะไปตามกำไรเสมอ (ทดลอง plot กราฟราคาหุ้นกับกำไร)
- ใช้ PEG
- "อย่าเด็ดดอกไม้ แล้วรดน้ำให้วัชพืช" คือขายหุ้นที่ได้กำไรไปตอนหุ้นขึ้น แล้วหุ้นขาดทุนดันไปซื้อเพิ่ม
----------
ทุกคนช่วยกันพูดถึง Warren Buffett
- ตอนหลังไปทาง Fisher แต่ยังใช้แนวทาง Graham ในการวิเคราะห์งบการเงิน
- เน้นซื้อทั้งกิจการที่อยู่นอกตลาด
- ถือยาวๆ ให้คิดว่า ถ้าตลาดหุ้นปิดไป 5-10 ปี ก็ไม่เป็นไร
- ซื้อแต่บริษัทที่เข้าใจ วินัยคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราพลาดกันเพราะเกิดจากความไม่มีวินัย
- เพิ่มเติมของ Fisher จะขายเมื่อ
1. เมื่อรู้ว่าพลาด ขายทันที ไม่สนใจราคา
2. เมื่อพื้นฐานเปลี่ยน
3. เมื่อเจอตัวที่ทำผลงานได้ดีกว่า
ampmie152.
http://ampmie152.blogspot.com/
คำเตือน: จดตามที่ได้ยินและความเข้าใจของตนเอง ไม่รับประกันความถูกต้อง ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้
...โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล.
ตอนนี้เป็นการให้วิทยากรแต่ละท่าน พูดถึงแนวทางการลงทุนของกูรูระดับโลก 1 คน
และช่วยกันเสริมเรื่อง Warren Buffett ในตอนท้าย
คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ พูดถึง "Philip Fisher"
- ผลงานชื่อดังของ Fisher คือ "Common Stock, Uncommon Profit"
- Fisher เป็นอาจารย์คนหนึ่งของ Buffet เป็นผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล
- ช่วงแรกๆ Buffett ลงทุนแบบ Graham คือ Cigarbutt Investor หรือหุ้นก้นบุหรี่ พิจารณาแค่งบการเงิน เลือกหุ้นถูกที่ไม่มีคนสนใจแล้ว โดยจะดูเรื่อง Working Capital เป็นหลัก เทียบกับ market cap ถ้าพบว่าถูก ค่อยเข้าไปดูรายละเอียดต่อ
- พบว่าวิธีนี้ ซื้อแล้ว บางทีราคาหุ้นไม่ไปไหน
- Fisher มาดูที่ growth โดยมองที่ competitive advantage ในธุรกิจ, มองอนาคตของธุรกิจ, ถือหุ้นระยะยาว (10-30ปี) ช่วงหลังๆ Buffet จะมาทางแนวของ Fisher มากขึ้น
- Fisher ชอบหุ้นเทคโนโลยี เช่น Dow Chemical, Texas Instrument คือต้องเป็นหุ้นที่มี R&D ชัดๆ ถ้าเทียบสมัยนี้ก็เป็น Apple, Google
- วิธีหาหุ้น: เริ่มจากสัมภาษณ์ผู้บริหาร -> สัมภาษณ์คู่แข่ง (เพราะคู่แข่งมักจะเล่าเรื่องที่ไม่ดีให้ฟัง) -> สัมภาษณ์ลูกค้าและ supplier , ใช้เวลาตัดสินใจนาน แต่ถ้าเลือกแล้วจะทุ่มเลย ถือหุ้นแค่ 5-6 ตัว
- ศึกษาละเอียด วิเคราะห์อย่างดี ถือน้อยตัว ถือยาว
- ขายเมื่อ: ความสามารถในการแข่งขันลดลง, คู่แข่งมาก/เก่งขึ้น, เสียความเป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรม
- IPO ไม่ซื้อ ซื้อแต่หุ้นที่เติบโตมาเป็นระยะที่ชัดเจน
- ดูเรื่องจริยธรรมด้วย ความซื่อสัตย์ของผู้บริหารสำคัญมาก
- อย่าซื้อหุ้นแค่จากการอ่าน annual report อย่างเดียว, อย่าเชื่อผู้บริหารมากว่าทุกอย่างที่พูดจะจริง
- growth stock ต้องดูช่วงที่ตลาดตกต่ำ, ช่วงที่คนกลัว, ช่วงที่บริษัทมีปัญหาชั่วคราว
----------
คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข พูดถึง "Benjamin Graham"
- เคยทำกองทุนแล้วเจ๊ง เลยมาสอนหนังสือ
- เขียนเรื่อง "Security Analysis"
- เน้นเรื่องกระจายความเสี่ยงให้ปลดภัยเป็นหลัก เพราะเคยเจ็บตัวมาก่อน
- ใช้วิธี Net-Net: สินทรัพย์หมุนเวียน - หนี้สินทั้งหมด ถ้าเทียบกับราคาหุ้นได้บวกเยอะๆ ถือว่ามีอัพไซด์
- ไม่สนใจเรื่องของผู้บริหารและคุณภาพของธุรกิจ
- ถือหุ้น 10-20 ตัว เพราะวิธีนี้มีโอกาสพลาดสูง
- แบ่งประเภทนักลงทุนเป็น นักลงทุนเชิงรับและนักลงทุนเชิงรุก
- ถ้าไม่มีเวลาในการติดตามข่าวสารหรือหาข้อมูลหุ้นได้ตลอด ถือเป็นนักลงทุนเชิงรับ ให้ลงทุนกับบริษัทใหญ่ มีชื่อเสียง พวก blue chip และมีเงินปันผลที่ดีต่อเนื่อง
- ถ้ามีใช้เวลาทั้งวันได้ในการติดตามข้อมูลหุ้น ถือเป็นนักลงทุนเชิงรุก เลือกซื้อได้หมดตามใจ
- ที่คนเจ๊งกันเยอะเพราะเป็นนักลงทุนเชิงรับแต่ชอบไปเล่นหุ้นเชิงรุก
- ปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลงบการเงินและข้อมูลบริษัท เข้าถึงได้ง่ายทั่วกันหมดแล้ว วิธี Net-Net จึงใช้ไม่ค่อยได้ผลอีกแล้ว
- หลักการสำคัญ 1.) ซื้อหุ้น คือซื้อธุรกิจ 2.) ตลาดมีความผันผวน อย่าตกอยู่ในความผันผวนนั้น แต่จงใช้ประโยชน์จากมัน 3.) ต้องมี Margin of safety เผื่อความผิดพลาดไว้เสมอ
----------
ดร.กุศยา ลีฬหาวงศ์ พูดถึง "John Neff"
- ผลงานบริการกองทุน 31 ปี ชนะตลาดได้ตลอด
- ดูที่ผลประกอบการ คุณภาพของธุรกิจ และยังคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ ภาวะอุตสาหกรรม เอามาทำนายผลประกอบการด้วย
- วิธีเลือกหุ้น
1. เน้น PE ต่ำๆก่อน
2. growth ต้องมากกว่า 7% ต่อปี แต่ถ้าเกิน 20% จะขายทันที เช่นพวกมีกำไรพิเศษ คือจะเน้นแต่การเติบโตพื้นฐาน
3. ปันผลสม่ำเสมอ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
4. ผลตอบแทนเฉลี่ย คิดจาก growth + div. yield หารด้วย PE ควรอยู่ที่ 2:1 หรือดีกว่า
5. ถ้าเป็นหุ้นวัฏจักร ให้รอซื้อที่ PE ต่ำที่สุด เท่าที่จะทำได้หรือต่ำจากที่มันเคยเป็นมา
6. ลงทุนในอุตสาหกรรมที่เติบโต
7. ปัจจัยพื้นฐานดี ดูที่ ROE, NPM, EBIT margin
8. Free Cashflow ต้องดี
- มี MOS 25% หรือมากกว่า
- การขาย: มีสองเหตุผล 1.) พื้นฐานเปลี่ยน 2.) ราคาตลาดเท่ากับมูลค่าที่ประเมินได้
- ถ้าอยากเจ๊ง ให้ลงทุนหุ้นสายการบินพาณิชย์ , อย่าง Buffett จะไม่ลงทุน แต่จะลงทุนพวกโรงเรียนสอนการบิน หรือการบินแบบ time sharing แทน
----------
ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร พูดถึง "Peter Lynch"
- มี background มาจากเด็กที่เรียนศิลปะ
- บริหาร 13 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 30% ทบต้น
- เล่นหุ้นเกือบทุกตัว กองทุนใหญ่ ซื้อหลายๆตัว
- เป็นคนแรกที่บอกว่า นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเป็นมืออาชีพ ให้ใช้ common sense แบบคนธรรมดา มักจะรู้ข้อมูลสำคัญก่อนพวกนักวิเคราะห์ที่เอาแต่อยู่ในห้องค้า
- หุ้นดีๆอยู่รอบตัวเรา แต่คนชอบทำตรงข้าม คือไปมัวแต่หาข้อมูลยากๆจากที่อื่น
- แบ่งหุ้นเป็น 6 กลุ่ม หยิบหุ้นมาหนึ่งตัว ต้องบอกได้ว่าอยู่กลุ่มไหน
1. หุ้นโตช้า ขนาดใหญ่ ผลประกอบการทรงๆ อยู่ได้เรื่อยๆ
2. หุ้นแข็งแกร่ง มั่นคงสูง พวกหุ้น blue chip โตได้เรื่อยๆ ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่ต้องรู้เวลาที่จะขาย ถ้ากำไรเยอะหน่อยก็ขายได้ เพราะไปคาดหวังให้โตเร็วไม่ได้
3. หุ้นโตเร็ว มักมีขนาดเล็ก โต 25% ไม่ต่ำกว่า 5 ปี ถือไว้นานๆ อาจได้เจอหุ้น 10 เด้ง ค่อยคิดขาย ต้องดูว่ากำไรนั้นโตมาได้ยังไง ถ้ามีอะไรที่เพิ่มสาขาจะชัดเจนมาก
4. หุ้นวัฏจักร โตเพราะราคาสินค้ามันขึ้น พวกเดินเรือ ได้จากค่าระวาง ต้องเล่นเป็นรอบ ผลตอบแทนมหาศาล และเจ๊งได้มหาศาลเช่นกัน กำไรขึ้นเร็วกว่าราคา ทำให้ PE ต่ำมาก เป็นกับดัก คือต้องซื้อตอน PE สูง เพราะกำไรแย่ราคาจะตกหนักกว่ากำไรที่ตก ให้ซื้อตอนที่ยอดขายกำลังมา ฟื้นตัวครั้งแรก
5. หุ้น turnaround ตกต่ำ ขาดทุน มีปัญหา ให้ดูที่เงินสดมากๆ หนี้ไม่เยอะ ซื้อตอนที่มั่นใจว่าจะกลับมาได้
6. หุ้นทรัพย์สินมาก เอา Asset - Debt มาเทียบกับ market cap ถ้าถูกก็ซื้อไว้ รอคนมา unlock มูลค่าของมัน
- ในระยะยาว ราคาหุ้นจะไปตามกำไรเสมอ (ทดลอง plot กราฟราคาหุ้นกับกำไร)
- ใช้ PEG
- "อย่าเด็ดดอกไม้ แล้วรดน้ำให้วัชพืช" คือขายหุ้นที่ได้กำไรไปตอนหุ้นขึ้น แล้วหุ้นขาดทุนดันไปซื้อเพิ่ม
----------
ทุกคนช่วยกันพูดถึง Warren Buffett
- ตอนหลังไปทาง Fisher แต่ยังใช้แนวทาง Graham ในการวิเคราะห์งบการเงิน
- เน้นซื้อทั้งกิจการที่อยู่นอกตลาด
- ถือยาวๆ ให้คิดว่า ถ้าตลาดหุ้นปิดไป 5-10 ปี ก็ไม่เป็นไร
- ซื้อแต่บริษัทที่เข้าใจ วินัยคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราพลาดกันเพราะเกิดจากความไม่มีวินัย
- เพิ่มเติมของ Fisher จะขายเมื่อ
1. เมื่อรู้ว่าพลาด ขายทันที ไม่สนใจราคา
2. เมื่อพื้นฐานเปลี่ยน
3. เมื่อเจอตัวที่ทำผลงานได้ดีกว่า
ampmie152.
http://ampmie152.blogspot.com/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น