142
ไดอารีที่รัก...
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2557
ปลุกตัวเองขึ้นไปทำงานเช่นเคย
ก้าวแรกที่เดินพ้นหลังคา
ผมปะทะเข้ากับแรงลม
ทว่าคราวนี้ไม่ใช่ลมที่หน้าตาเหมือนเมื่อวันก่อนหรือวันไหนๆ
ผมรู้สึกเอะใจแต่เท้ายังไม่หยุดเดิน
...
ลองเดินให้เร็วขึ้นเพื่อเพิ่มการรับรู้ถึงแรงปะทะนั้น
"ได้เวลาแล้วหรือ?"
ผมกลับมาเดินด้วยความเร็วปกติ
"ในที่สุดแกก็กลับมา...ลมแห่งฤดูหนาว"
...ฤดูและนิสัย ที่ใครเขามักจะมองข้ามไปดังเช่นบทกวีของพี่ตุลย์
...
เราคนเมือง...ยังคงดำเนินชีวิตประจำวันต่อไปโดยไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของฤดูมากเท่าไหร่
เพียงรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง
แล้วก้มหน้าก้มตาดำเนินชีวิตต่อไป
ผมซ้อนวินมอเตอร์ไซด์ฝ่าควันรถบรรทุกไปทำงานเช่นทุกวัน
การเคลื่อนไหวที่เร็วพอๆกับเมื่อวาน แต่วันนี้รู้สึกเย็นกว่าเมื่อวาน
"ขอโทษทีนะ...ที่ฉันเป็นคนทำงานในเมืองแออัด ชื่อเสียงของแกจะมาช้ากว่าที่อื่นเสมอแหละ อย่าน้อยใจไปเลย"
...
ลมหนาวจะมาหรือไม่...ผมก็ยังคงขึ้นรถไฟฟ้าที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำแบบทุกวัน
ลมหนาวจะมาจากทิศไหน...ผมก็ยังนั่งอยู่ในตึกเหลี่ยมๆไม่ให้ผมได้รับรู้อยู่ทุกวัน
ลมหนาวจะเคยเหี้ยมโหดจากที่ไหน...ผมก็ยังเห็นแก่ตัว เอาไลฟ์สไตล์ตนเองไปสบประมาทมัน
"หน้าหนาวเมืองไทย อยู่ที่ไหนกัน พัดมาสองวัน แล้วมันก็หายไป..."
เพลงของทีโบนจะก้องอยู่ในหัวผมทุกครั้งในวันแรกๆของการออกตัวแห่งฤดูกาล
...
มีบทเพลงอีกมากมายที่พรรณาถึงสรรพคุณของมัน
ถึงผู้คนจะชอบโยงฤดูหนาวกับความเหงาหรือเรื่องหนาวใจใดๆก็ตาม
ในความเป็นจริงมันกลับเป็นสิ่งที่ถูกต้องการมากที่สุดในเมืองที่ดัดจริตที่สุดเช่นกัน
เราทำตัว "เยอะ" ใส่ฤดูหนาว มากกว่าฤดูอื่นๆ
อาจเพราะเราคือคนเมืองร้อน
หรือเป็นเพราะเมืองที่ร้อน ทำให้คนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
หรือเพราะความเขลาของตัวเราเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับลมหนาวเลย
จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ฤดูกาลก็ยังคงดำเนินต่อไป
ดำเนินเหมือนเช่นที่มันเคยเป็น
ไหลไปเหมือนทุกครั้งที่มันเคยทำ
ผ่านมา...แค่ให้คิดถึง
กวีจะจับปากกาให้แน่นกว่าเดิม
ศิลปินจะเปลี่ยนโทนสีให้หม่นกว่าเดิม
บทเพลงจะถ่ายทอดความเหงาให้มากกว่าเดิม
"อย่าห่วงเลย ถึงปีไหนเอ็งจะมาหรือไม่ เอ็งก็ยังถูกกล่าวขานไปอีกนาน".
ampmie152.
http://ampmie152.blogspot.com/
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2557
ปลุกตัวเองขึ้นไปทำงานเช่นเคย
ก้าวแรกที่เดินพ้นหลังคา
ผมปะทะเข้ากับแรงลม
ทว่าคราวนี้ไม่ใช่ลมที่หน้าตาเหมือนเมื่อวันก่อนหรือวันไหนๆ
ผมรู้สึกเอะใจแต่เท้ายังไม่หยุดเดิน
...
ลองเดินให้เร็วขึ้นเพื่อเพิ่มการรับรู้ถึงแรงปะทะนั้น
"ได้เวลาแล้วหรือ?"
ผมกลับมาเดินด้วยความเร็วปกติ
"ในที่สุดแกก็กลับมา...ลมแห่งฤดูหนาว"
...ฤดูและนิสัย ที่ใครเขามักจะมองข้ามไปดังเช่นบทกวีของพี่ตุลย์
...
เราคนเมือง...ยังคงดำเนินชีวิตประจำวันต่อไปโดยไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของฤดูมากเท่าไหร่
เพียงรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง
แล้วก้มหน้าก้มตาดำเนินชีวิตต่อไป
ผมซ้อนวินมอเตอร์ไซด์ฝ่าควันรถบรรทุกไปทำงานเช่นทุกวัน
การเคลื่อนไหวที่เร็วพอๆกับเมื่อวาน แต่วันนี้รู้สึกเย็นกว่าเมื่อวาน
"ขอโทษทีนะ...ที่ฉันเป็นคนทำงานในเมืองแออัด ชื่อเสียงของแกจะมาช้ากว่าที่อื่นเสมอแหละ อย่าน้อยใจไปเลย"
...
ลมหนาวจะมาหรือไม่...ผมก็ยังคงขึ้นรถไฟฟ้าที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำแบบทุกวัน
ลมหนาวจะมาจากทิศไหน...ผมก็ยังนั่งอยู่ในตึกเหลี่ยมๆไม่ให้ผมได้รับรู้อยู่ทุกวัน
ลมหนาวจะเคยเหี้ยมโหดจากที่ไหน...ผมก็ยังเห็นแก่ตัว เอาไลฟ์สไตล์ตนเองไปสบประมาทมัน
"หน้าหนาวเมืองไทย อยู่ที่ไหนกัน พัดมาสองวัน แล้วมันก็หายไป..."
เพลงของทีโบนจะก้องอยู่ในหัวผมทุกครั้งในวันแรกๆของการออกตัวแห่งฤดูกาล
...
มีบทเพลงอีกมากมายที่พรรณาถึงสรรพคุณของมัน
ถึงผู้คนจะชอบโยงฤดูหนาวกับความเหงาหรือเรื่องหนาวใจใดๆก็ตาม
ในความเป็นจริงมันกลับเป็นสิ่งที่ถูกต้องการมากที่สุดในเมืองที่ดัดจริตที่สุดเช่นกัน
เราทำตัว "เยอะ" ใส่ฤดูหนาว มากกว่าฤดูอื่นๆ
อาจเพราะเราคือคนเมืองร้อน
หรือเป็นเพราะเมืองที่ร้อน ทำให้คนไม่รู้ร้อนรู้หนาว
หรือเพราะความเขลาของตัวเราเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับลมหนาวเลย
จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ฤดูกาลก็ยังคงดำเนินต่อไป
ดำเนินเหมือนเช่นที่มันเคยเป็น
ไหลไปเหมือนทุกครั้งที่มันเคยทำ
ผ่านมา...แค่ให้คิดถึง
กวีจะจับปากกาให้แน่นกว่าเดิม
ศิลปินจะเปลี่ยนโทนสีให้หม่นกว่าเดิม
บทเพลงจะถ่ายทอดความเหงาให้มากกว่าเดิม
"อย่าห่วงเลย ถึงปีไหนเอ็งจะมาหรือไม่ เอ็งก็ยังถูกกล่าวขานไปอีกนาน".
ampmie152.
http://ampmie152.blogspot.com/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น