126
ไดอารีที่รัก
หลังจากลังเลมาได้วันสองวัน
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเขียนถึงเรื่องการเมืองในมุมมองของผมบ้าง
จะเขียนเมื่อวานหรือวันนี้ก็คงไม่ต่างกัน
ที่ต่างกันคือ...วันนี้ "เสียงปืนดังขึ้นแล้ว"
...
"โอ้ย! ทำไมการเมืองยุคหลัง 2549 มันจำยากจังวะ?!? อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัว"
...เสียงโอดครวญจากเด็กนักเรียนที่ดังขึ้น ในอีก 50 ปีข้างหน้า
ผมสงสารเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานเราเวลาเรียนวิชาสังคมเหลือเกิน
เหตุการณ์วันนี้ที่เรากำลังเผชิญ ต่างทยอยเดินเข้าคิวที่จะถูกบรรจุในตำราเรียน
ความเสียหาย ปลอกกระสุน เลือด เสียงผู้คนโห่ร้อง คนบาดเจ็บ คนตาย
ถูกผสมเข้ากับความจริงเคล้าความรู้สึก
บรรจุภัณฑ์ด้วยวาทะและสำนวน
สุดท้ายถูกแปรสภาพเป็นน้ำหมึก ผู้อาศัยบนกระดาษสีน้ำตาล
เครื่องหมายกากบาทยังคงทำหน้าที่ของมันเช่นเคย
ฉันเคยอ่านเจอมาว่ามันเป็นแบบนี้ ฉันจึงกาข้อนี้
ปล่อยให้ความจริงอีกหลายข้อนั้น นอนรอผู้ที่จะเลือกมัน
มันคงได้แต่นอนรออยู่เช่นนั้น
แต่ผมพนันได้ว่า...มันไม่ตาย!
...
การเมืองวันนี้คือสิ่งที่ทดสอบความสามารถในการเสพสื่อของแต่ละคนได้อย่างดี
มันมีความท้าทายอยู่เสมอ เพราะว่าคุณพร้อมจะถูกชักจูงโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ตลอดเวลา
ต่างฝ่ายต่างหยิบยกประเด็นต่างๆขึ้นมาโจมตี
การเจรจาที่ทำพอเป็นพิธีแต่กลับไม่มีคุณค่าทางการแก้ปัญหาเอาเสียเลย
ปากก็พูดกันเสียอย่างดี ใจจริงพวกคุณก็แค่สร้างกำแพงกั้นมันไว้แล้วเท่านั้นเอง
ผมไม่เคยออกไปร่วมชุมนุม ไม่ว่าจะทั้งเหลือง แดง ขาว ดำ น้ำเงิน หรือชมพู
(ออกมาครบสีก็แปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ได้แล้วสินะ)
มีเคยสัมผัสบรรยากาศแบบใกล้ชิดบ้างเล็กน้อย
แต่ก็ยังไม่เคยคิดจะไปร่วมไปตามใคร
นั่นเพราะว่า ยังไม่มีเหตุผลใดของฝ่ายใดสามารถโน้มน้าวผมให้ได้มากเพียงพอ
ผมเลือกที่จะไม่เลือกฝ่ายใด ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เลือกอะไร
ผมเลือกที่จะไม่เชียร์ฝ่ายใด เพราะผมมีอิสระที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับทุกเรื่องราวในทุกเวลา
อย่าทำตัวเป็นกลาง เพราะไม่อยากยุ่งการเมือง ไม่ตาม ไม่รู้ ไม่สนใจ หรือกลัวตกเป็นเครื่องมือของใคร
นั่นแสดงว่า คุณไม่ได้ใช้สิทธิของคุณเลยและคุณจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยต่อสังคมประชาธิปไตย
ก็เหมือนการเลือกตั้งแหละครับ (ตัวอย่างที่คนทั่วไปคิดออกง่ายที่สุดเกี่ยวกับประชาธิปไตย )
มันถึงมีความแตกต่างกันระหว่าง "การออกไปใช้สิทธิ์กาไม่เลือกใคร" กับ "การนอนหลับทับสิทธิ์"
ยิ่งเหตุการณ์รุนแรงขึ้น เราก็ควรจะออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากขึ้น
ผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า "การเมืองกับศาสนานี่ห้ามพูดกันเลย เดี๋ยวมีเรื่องกัน"
เมื่อเราคิดต่างกันมันก็ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นกัน นั่นเป็นธรรมดาของมนุษย์อยู่แล้วมิใช่หรือ?
ที่พูดแล้วทะเลาะกัน เพราะผู้ร่วมสนทนานั้นไม่พร้อมมากกว่า
ไม่พร้อมที่จะรับฟังผู้อื่น
ไม่พร้อมที่จะเห็นคนอื่นคิดต่าง
ไม่พร้อมที่จะเห็นผู้อื่นไม่เห็นด้วยกับตน
ดังนั้น ถ้าอยากจะเตือนอะไรแบบนี้ ก็ควรจะเปลี่ยนคำเตือนใหม่เป็น...
"เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะพูดกันต้องห้ามเกรียน ไม่งั้นเดี๋ยวหมี่เหลือง!"
ประเด็นมันอยู่ที่ สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราแสดงออก เนื้อหาของมัน ที่มาที่ไปของมัน เหตุผลของมัน
และสำคัญสุดคือ "จิตอันเป็นดั่งแก้วที่ว่างเปล่าเสมอ"
เพราะโลกเราไม่ได้มีแค่ yes no หรือ 0 กับ 1
คุณอาจจะเห็นด้วยกับฝ่ายหนึ่งแค่บางส่วนก็ได้
และก็ไม่ได้หมายความคุณไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่ายก็ได้
คุณเลือกได้ และคุณก็ควรจะมีความคิดและเหตุผลในสิ่งที่คุณเลือก
ดังนั้น ถ้าจะคุยการเมืองอย่ามาพูดว่า กูฝ่ายไหน สีอะไร รักใครเกลียดใคร อย่าพูดดีกว่า เสียเวลา
หยิบเป็นประเด็นมาเลย ทำแบบนี้เหมาะสมไหม อย่างไร ก็ว่ากันไป
...
อย่างการชุมนุมโดยไม่มีความรุนแรง เคารพกฎหมายและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ผมมองว่าเป็นอะไรที่ดีมาก มันสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยที่ชัดเจนมากขึ้น
เมื่อคิดต่างก็รวมตัวกันออกมาแสดงออกให้สังคมได้รับรู้
เรื่องบางเรื่อง บางทีเราเองอาจจะไม่เคยคิดในมุมนี้ ก็ได้เอะใจคิดเหมือนกัน
และได้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจกันมากขึ้น
ส่วนสิ่งที่คุณคิดต่างนั้นจะถูกผิดอย่างไรก็ต้องมาพิจารณากัน
แต่ถ้าคิดต่างแล้วมีแต่กูถูกมึงผิด ไม่มึงก็กูต้องตายกันไปข้างนึง
ไม่ได้ก็ยึดแม่งเลย ทุบแม่งเลย อันนี้ไม่ใช่ชุมนุมแบบประชาธิปไตยแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่คิดต่างนั้นจะถูกจริงก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วเพราะคุณเล่นนอกกติกาแล้ว
แล้วอย่ามาทำเป็นอ้างว่า ทีไอ้นู่นทำได้ ทำไมกูจะทำไม่ได้ ทีไอ้นู่นผิดไม่เห็นจับ สองมาตรฐานบลาบลา
ก็ไม่เข้าใจว่าคนเราพอรู้ว่าอะไรผิดอะไรไม่ดี ก็มีตัวอย่างให้เห็นไปแล้ว
แทนที่จะไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง กลับใช้เป็นช่องทางในการทำผิดบ้างซะงั้น
( อย่าเข้าใจผิดว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นสวยหรูหรือยุติธรรมอะไร
ทั้งหมดมันก็คือเกมการเมือง ไม่ต้องไปหาหรอก ความยุติธรรมหรือมาตรฐานอะไร
คนชนะก็เขียนกติกา แพ้ก็เล่นไปตามเกม
ถึงเวลาก็เลือกตั้งใหม่ และวนเข้าลูปเดิม ทีใครทีมัน
ถ้าตกลงเข้าใจกันตามนี้ มันก็คือประชาธิปไตย ไม่ได้เล่นนอกเกม )
...
ส่วนรัฐบาลนั้น การออกมาคุกคามสื่อถึงขนาดนี้ บอกตรงๆว่ารับไม่ได้จริงๆ
หลายครั้งที่ผมกำลังต้องการเสพสื่อทั้งสองด้าน แต่พอจะเข้าไปดูสื่อด้านที่ผู้ชุมนุมนำเสนอ
กลับโดนบล็อค โดนปิด โดนยึด (ขึ้นเป็นรูปใบไม้ซะสวยงามเชียะ)
ก็เข้าใจว่าบางอย่างที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ก็เป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องสอดส่องดูแล
แต่หลายอย่างมันก็เกินไปจนปิดกั้นความจริงบางอย่างไปเสียอย่างนั้น
...
ถึงนาทีนี้แล้ว ความรุนแรงก็เกิดขึ้นจนได้
สงกรานต์สงคราม ก็เวียนมาอีกรอบ
ผมไม่สนหรอกครับ...ว่าใครจะทำร้ายใครก่อน
และอย่ามาอ้างว่า ฉันมือเปล่าหรือฉันกระสุนยาง
เพราะภาพที่ออกมา มันเห็นๆกันอยู่ว่าตายทั้งคู่
เสียงปืน เสียงระเบิด เลือดเนื้อ มันของจริงทั้งนั้น
จะอยู่ในมือใครหรือใครเริ่ม อันนี้ไม่รู้ และนี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้ว
สำคัญกว่านั้นคือ คนไทยฆ่ากันเองแล้ว
ไม่มีทหารคนไหนที่ถูกฝึกมาให้ฆ่าประชาชน
ไม่มีประชาชนคนไหนที่ถูกสอนมาให้ฆ่าทหารประเทศตัวเอง
ที่น่าเห็นใจสุดคือ เหล่าทหาร ตำรวจ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ทุกคนที่ต้องมาปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่รู้ว่า
พรุ่งนี้จะได้เจอกับอะไร?
จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่?
...
ถอยคนละหนึ่งก้าวดูสิ บรรยากาศมันจะดีแค่ไหน
ถ้าดีขึ้น ก็ลองถอยต่อกันอีกคนละก้าวสิ
ถอยกลับบ้านไปหาลูกเมีย ไปหาครอบครัว
กลับไปเป็นเมืองไทยเหมือนเดิมสิ
กลับไปนอนที่บ้านดีกว่า อย่าไปนอนโรงพยาบาลเลย
หยุดกันเถอะ...มันไม่คุ้มกันหรอก.
หลังจากลังเลมาได้วันสองวัน
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเขียนถึงเรื่องการเมืองในมุมมองของผมบ้าง
จะเขียนเมื่อวานหรือวันนี้ก็คงไม่ต่างกัน
ที่ต่างกันคือ...วันนี้ "เสียงปืนดังขึ้นแล้ว"
...
"โอ้ย! ทำไมการเมืองยุคหลัง 2549 มันจำยากจังวะ?!? อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัว"
...เสียงโอดครวญจากเด็กนักเรียนที่ดังขึ้น ในอีก 50 ปีข้างหน้า
ผมสงสารเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานเราเวลาเรียนวิชาสังคมเหลือเกิน
เหตุการณ์วันนี้ที่เรากำลังเผชิญ ต่างทยอยเดินเข้าคิวที่จะถูกบรรจุในตำราเรียน
ความเสียหาย ปลอกกระสุน เลือด เสียงผู้คนโห่ร้อง คนบาดเจ็บ คนตาย
ถูกผสมเข้ากับความจริงเคล้าความรู้สึก
บรรจุภัณฑ์ด้วยวาทะและสำนวน
สุดท้ายถูกแปรสภาพเป็นน้ำหมึก ผู้อาศัยบนกระดาษสีน้ำตาล
เครื่องหมายกากบาทยังคงทำหน้าที่ของมันเช่นเคย
ฉันเคยอ่านเจอมาว่ามันเป็นแบบนี้ ฉันจึงกาข้อนี้
ปล่อยให้ความจริงอีกหลายข้อนั้น นอนรอผู้ที่จะเลือกมัน
มันคงได้แต่นอนรออยู่เช่นนั้น
แต่ผมพนันได้ว่า...มันไม่ตาย!
...
การเมืองวันนี้คือสิ่งที่ทดสอบความสามารถในการเสพสื่อของแต่ละคนได้อย่างดี
มันมีความท้าทายอยู่เสมอ เพราะว่าคุณพร้อมจะถูกชักจูงโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ตลอดเวลา
ต่างฝ่ายต่างหยิบยกประเด็นต่างๆขึ้นมาโจมตี
การเจรจาที่ทำพอเป็นพิธีแต่กลับไม่มีคุณค่าทางการแก้ปัญหาเอาเสียเลย
ปากก็พูดกันเสียอย่างดี ใจจริงพวกคุณก็แค่สร้างกำแพงกั้นมันไว้แล้วเท่านั้นเอง
ผมไม่เคยออกไปร่วมชุมนุม ไม่ว่าจะทั้งเหลือง แดง ขาว ดำ น้ำเงิน หรือชมพู
(ออกมาครบสีก็แปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ได้แล้วสินะ)
มีเคยสัมผัสบรรยากาศแบบใกล้ชิดบ้างเล็กน้อย
แต่ก็ยังไม่เคยคิดจะไปร่วมไปตามใคร
นั่นเพราะว่า ยังไม่มีเหตุผลใดของฝ่ายใดสามารถโน้มน้าวผมให้ได้มากเพียงพอ
ผมเลือกที่จะไม่เลือกฝ่ายใด ไม่ได้หมายความว่าผมไม่เลือกอะไร
ผมเลือกที่จะไม่เชียร์ฝ่ายใด เพราะผมมีอิสระที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับทุกเรื่องราวในทุกเวลา
อย่าทำตัวเป็นกลาง เพราะไม่อยากยุ่งการเมือง ไม่ตาม ไม่รู้ ไม่สนใจ หรือกลัวตกเป็นเครื่องมือของใคร
นั่นแสดงว่า คุณไม่ได้ใช้สิทธิของคุณเลยและคุณจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยต่อสังคมประชาธิปไตย
ก็เหมือนการเลือกตั้งแหละครับ (ตัวอย่างที่คนทั่วไปคิดออกง่ายที่สุดเกี่ยวกับประชาธิปไตย )
มันถึงมีความแตกต่างกันระหว่าง "การออกไปใช้สิทธิ์กาไม่เลือกใคร" กับ "การนอนหลับทับสิทธิ์"
ยิ่งเหตุการณ์รุนแรงขึ้น เราก็ควรจะออกมาแสดงความคิดเห็นกันมากขึ้น
ผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า "การเมืองกับศาสนานี่ห้ามพูดกันเลย เดี๋ยวมีเรื่องกัน"
เมื่อเราคิดต่างกันมันก็ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นกัน นั่นเป็นธรรมดาของมนุษย์อยู่แล้วมิใช่หรือ?
ที่พูดแล้วทะเลาะกัน เพราะผู้ร่วมสนทนานั้นไม่พร้อมมากกว่า
ไม่พร้อมที่จะรับฟังผู้อื่น
ไม่พร้อมที่จะเห็นคนอื่นคิดต่าง
ไม่พร้อมที่จะเห็นผู้อื่นไม่เห็นด้วยกับตน
ดังนั้น ถ้าอยากจะเตือนอะไรแบบนี้ ก็ควรจะเปลี่ยนคำเตือนใหม่เป็น...
"เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะพูดกันต้องห้ามเกรียน ไม่งั้นเดี๋ยวหมี่เหลือง!"
ประเด็นมันอยู่ที่ สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราแสดงออก เนื้อหาของมัน ที่มาที่ไปของมัน เหตุผลของมัน
และสำคัญสุดคือ "จิตอันเป็นดั่งแก้วที่ว่างเปล่าเสมอ"
เพราะโลกเราไม่ได้มีแค่ yes no หรือ 0 กับ 1
คุณอาจจะเห็นด้วยกับฝ่ายหนึ่งแค่บางส่วนก็ได้
และก็ไม่ได้หมายความคุณไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่ายก็ได้
คุณเลือกได้ และคุณก็ควรจะมีความคิดและเหตุผลในสิ่งที่คุณเลือก
ดังนั้น ถ้าจะคุยการเมืองอย่ามาพูดว่า กูฝ่ายไหน สีอะไร รักใครเกลียดใคร อย่าพูดดีกว่า เสียเวลา
หยิบเป็นประเด็นมาเลย ทำแบบนี้เหมาะสมไหม อย่างไร ก็ว่ากันไป
...
อย่างการชุมนุมโดยไม่มีความรุนแรง เคารพกฎหมายและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ผมมองว่าเป็นอะไรที่ดีมาก มันสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยที่ชัดเจนมากขึ้น
เมื่อคิดต่างก็รวมตัวกันออกมาแสดงออกให้สังคมได้รับรู้
เรื่องบางเรื่อง บางทีเราเองอาจจะไม่เคยคิดในมุมนี้ ก็ได้เอะใจคิดเหมือนกัน
และได้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจกันมากขึ้น
ส่วนสิ่งที่คุณคิดต่างนั้นจะถูกผิดอย่างไรก็ต้องมาพิจารณากัน
แต่ถ้าคิดต่างแล้วมีแต่กูถูกมึงผิด ไม่มึงก็กูต้องตายกันไปข้างนึง
ไม่ได้ก็ยึดแม่งเลย ทุบแม่งเลย อันนี้ไม่ใช่ชุมนุมแบบประชาธิปไตยแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่คิดต่างนั้นจะถูกจริงก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วเพราะคุณเล่นนอกกติกาแล้ว
แล้วอย่ามาทำเป็นอ้างว่า ทีไอ้นู่นทำได้ ทำไมกูจะทำไม่ได้ ทีไอ้นู่นผิดไม่เห็นจับ สองมาตรฐานบลาบลา
ก็ไม่เข้าใจว่าคนเราพอรู้ว่าอะไรผิดอะไรไม่ดี ก็มีตัวอย่างให้เห็นไปแล้ว
แทนที่จะไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง กลับใช้เป็นช่องทางในการทำผิดบ้างซะงั้น
( อย่าเข้าใจผิดว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นสวยหรูหรือยุติธรรมอะไร
ทั้งหมดมันก็คือเกมการเมือง ไม่ต้องไปหาหรอก ความยุติธรรมหรือมาตรฐานอะไร
คนชนะก็เขียนกติกา แพ้ก็เล่นไปตามเกม
ถึงเวลาก็เลือกตั้งใหม่ และวนเข้าลูปเดิม ทีใครทีมัน
ถ้าตกลงเข้าใจกันตามนี้ มันก็คือประชาธิปไตย ไม่ได้เล่นนอกเกม )
...
ส่วนรัฐบาลนั้น การออกมาคุกคามสื่อถึงขนาดนี้ บอกตรงๆว่ารับไม่ได้จริงๆ
หลายครั้งที่ผมกำลังต้องการเสพสื่อทั้งสองด้าน แต่พอจะเข้าไปดูสื่อด้านที่ผู้ชุมนุมนำเสนอ
กลับโดนบล็อค โดนปิด โดนยึด (ขึ้นเป็นรูปใบไม้ซะสวยงามเชียะ)
ก็เข้าใจว่าบางอย่างที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ก็เป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องสอดส่องดูแล
แต่หลายอย่างมันก็เกินไปจนปิดกั้นความจริงบางอย่างไปเสียอย่างนั้น
...
ถึงนาทีนี้แล้ว ความรุนแรงก็เกิดขึ้นจนได้
สงกรานต์สงคราม ก็เวียนมาอีกรอบ
ผมไม่สนหรอกครับ...ว่าใครจะทำร้ายใครก่อน
และอย่ามาอ้างว่า ฉันมือเปล่าหรือฉันกระสุนยาง
เพราะภาพที่ออกมา มันเห็นๆกันอยู่ว่าตายทั้งคู่
เสียงปืน เสียงระเบิด เลือดเนื้อ มันของจริงทั้งนั้น
จะอยู่ในมือใครหรือใครเริ่ม อันนี้ไม่รู้ และนี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้ว
สำคัญกว่านั้นคือ คนไทยฆ่ากันเองแล้ว
ไม่มีทหารคนไหนที่ถูกฝึกมาให้ฆ่าประชาชน
ไม่มีประชาชนคนไหนที่ถูกสอนมาให้ฆ่าทหารประเทศตัวเอง
ที่น่าเห็นใจสุดคือ เหล่าทหาร ตำรวจ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ทุกคนที่ต้องมาปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่รู้ว่า
พรุ่งนี้จะได้เจอกับอะไร?
จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่?
...
ถอยคนละหนึ่งก้าวดูสิ บรรยากาศมันจะดีแค่ไหน
ถ้าดีขึ้น ก็ลองถอยต่อกันอีกคนละก้าวสิ
ถอยกลับบ้านไปหาลูกเมีย ไปหาครอบครัว
กลับไปเป็นเมืองไทยเหมือนเดิมสิ
กลับไปนอนที่บ้านดีกว่า อย่าไปนอนโรงพยาบาลเลย
หยุดกันเถอะ...มันไม่คุ้มกันหรอก.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น